วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อิสเซ ซากาวะ ผู้กินมนุษย์

อาหารประจำชาติของญี่ปุ่นใครๆ ก็รู้ว่ามันคือซาซิมิหรือปลาดิบ แต่สำหรับซากาวะแล้ว เขาชอบเนื้อมนุษย์ เขาฆ่าเพื่อนนักศึกษาชาวยุโรปแล้วกินเธอเพื่อสนองอารมณ์วิปริต เมื่อถูกจับ เขารอดจากคุกแล้วกลับไปยังประเทศบ้านเกิดอย่างสบายในฐานะคนกินคน 

.......................................................................................................... 

คนกินคน 

 

อิสเซ ซากาวะ เกิดเมื่อ 11 กรกฎาคม 1949 บิดาของเขาเป็นทหารที่เคยถูกกักตัวอยู่ที่รัสเซีย และต่อมาได้ประสบผลสำเร็จเป็นประธานการบริษัทอุตสาหกรรมเครื่องดื่มคูติระในกรุงโตเกียวและขยายสาขาไปทั่วโลก(รวมทั้งประเทศไทย) 

ว่ากันว่าตอนที่ซาคาว่าเกิดมานั้น แม่ของเขาคลอดก่อนกำหนดจนเกือบจะแท้งและซากาวะก็ตัวเล็กมากจนมีขนาดเพียงฝ่ามือข้างเดียวของพ่อ 

เมื่อโตขึ้นซากาวะมีรูปร่างเตี้ยมากสูงไม่เกิน 5 ฟุต มือเท้ามีขนาดเล็ก เสียงพูดก็แหลมเหมือนผู้หญิง และมีท่าทางกระตุ้งกระติ้งออกไปทางผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีแนวโน้มอาจเป็นพวกลักเพศ แต่ถึงเขาเป็นอย่างนี้พ่อของเขาก็รักลูกสุดดวงใจเพราะเขาคือหนึ่งเดียวที่จะสานต่อกิจการของครอบครัว 

ซากาวะเป็นเด็กที่ฉลาดมากแต่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ ผอม และค่อนข้างกังวลเรื่องส่วนสูงของตนเอง แต่เขาชอบวรรณกรรม โดยนิยมอ่านงานเขียนเรื่อง Wuthering Heights (Emily Jane Brontë), War and Peace (Voyna i mir) และ"สี่ดรุณี"(Louisa May Alcott) ซึ่งจากความชอบนี้เองทำให้เขามีความรู้ในภาษาต่างประเทศหลายภาษา จนสามารถไปเรียนต่อวิชาวรรณคดีอังกฤษที่มหาวิทยาลัยวาโกอย่างสบาย 

และที่ยุโรปนี้เอง เขาได้เกิดหลงใหลสตรีชาวยุโรปที่รูปร่างสูงกว่าเขาและหลงรักพวกเธออย่างลึกซึ้ง 

ซึ้งจน....................อยากกินพวกเธอ 

เมื่ออิสเซ วากาวะ เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยวาโก เขาเริ่มสนใจ TEMPEST ของเชคเปียร์ส ซาคาว่าเลือกหัวข้อนี้มาเป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท ซึ่งฉบับภาษาฝรั่งเศสได้รับเสียงวิจารณ์อันดีจากอาจารย์หลายคน และมีกำหนดจะตีพิมพ์หากเขาไม่ถูกจับในคดีอันอื้อฉาวนี้เสียก่อน 

.......................................................................................................... 

ครั้งแรก 



ไม่รู้ว่าอิสเซ วากาวะนั้นมีความรู้สึกอยากกินคนตั้งแต่เมื่อไหร่ 

จากการสันนิษฐานเขาอาจเริ่มรู้สึกอยากกินคน ตอนที่เขาเรียนอยู่วาโก ที่นั้นเขาได้ตกหลุมรักครูสาวเยอรมันคนหนึ่งอย่างหักปักหัวปำ แต่ไม่ได้รักแบบชู้สาว แต่เป็น.............. 

"เวลาที่ผมพบผู้หญิงคนนี้ ผมชั่งใจไม่ถูกว่าจะกินเธอดีไหม" 

วันหนึ่งในฤดูร้อน อิสเซลอบปีนไปหน้าต่างที่ครูสาวพักอยู่ ตอนนั้นเธอกำลังหลับสนิทนอนเปลือยกาย อิสเซมาเห็นก็เกิดอารมณ์ขึ้น แต่เวลานั้นเขาไม่ได้พกอาวุธติดตัวมาด้วย จึงใช้ร่มกันฝนแทนมีด แต่ครูสาวตื่นมาเห็นก่อนจึงร้องโวยวายให้คนมาช่วย ทำให้อิสเซเผ่นหนีสุดชีวิต 

ในเวลาต่อมาพ่อของอิสเซได้จ่ายค่าเสียหายในคดีนี้ ผู้เสียหายก็ไม่ติดใจที่จะเอาเรื่อง อิสเซจึงไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีนี้ 

อิสเซเมื่อพลาดครั้งแรก เขารู้สึกอาการผิดปกติของเขาจึงได้ทำเรื่องความรู้สึกอยากกินมนุษย์ไปหาจิตแพทย์ จิตแพทย์ตกใจเมื่อรู้ว่าอิสเซไม่ได้แค่มีความคิดแต่ได้ลงมือแล้วแต่ทำไม่สำเร็จ และมีสิทธิสูงที่จะก่อการแบบนี้ต่อไปในวันข้างหน้าอีกครั้ง

จิตแพทย์ได้ทำการพูดคุยกับอิสเซยืนยันว่า เขาเป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่งถ้าไม่แก้ไข แต่ถึงกระนั้นจิตแพทย์ก็เก็บเป็นความลับนี้ไว้ เนื่องจากไม่มีผลสรุปอย่างเป็นทางการ 

เมื่อพ่ออิสเซรู้ข่าวจึงแก้ปัญญานี้โดยการให้อิสเซไปเรียนที่อื่นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ อิซเซเลือกที่จะไปเรียนที่ปารีสเพราะที่นั้นเป็นแหล่งรวมเหยื่อผู้หญิงที่มีลักษณะตรงสเป็กเขาพอดี 

.......................................................................................................... 

เรนี ฮาร์เทเวลท์ 

 

ระหว่างที่อิสเซทำการศึกษาที่ "สถาบัน เซนซิแยร์" ในมหานครกรุงปารีส ในปี ค.ศ. 1981 

อิสเซได้ตกหลุมรักนักศึกษาชาวยุโรปคนหนึ่งชื่อเรนี ฮาร์เทเวลท์ ที่นั่งถัดไปในห้องเรียน 

เรนีเป็นสาวสวยชาวยุโรปเหนืออายุ 25 ปี ผมสีบบลอนด์ พูดได้ถึง 3 ภาษา เธอตั้งเป้าหมายว่าจะเรียนให้จบปริญญาเอกด้านวรรณคดีฝรั่งเศสเพื่อประกอบอาชีพในอนาคต 

อิสเซหลงรักเธอจนหักห้ามใจไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นแขนขาวเนียนของเธอ เรนีเป็นผู้หญิงในฝันของเขา เขาต้องหาทางให้ถึงตัวเธอให้จงได้ 

ระยะแรกอิสเซปูทางด้วยการขอให้เรนีสอนภาษาเยอรมันให้เขา โดยเสนอค่าจ้างในราคาสูงๆ เรนียอมรับข้อเสนอนี้ 

อิสเซเริ่มแผนการด้วยการเขียนจดหมายสารภาพรักกับเธอ นัดเธอไปดูคอนเสิร์ตและนิทรรศการศิลปะต่างๆ แม้ว่าอิสเซจะตัวเล็กและเดินกระตุ้งกระติ้งแบบผู้หญิงแต่เรนีก็ไม่ได้รังเกียจที่จะไปไหนมาไหนด้วยกัน จนบางครั้งเรนีก็ชวนอิสเซไปกินน้ำชาบ้านของตัวเอง บางครั้งก็เต้นรำด้วยกัน 

แต่บางครั้งอิสเซก็มักแสดงพฤติกรรมวิปริตให้เรนีเห็นบ่อยๆ เช่น ครั้งหนึ่งอิสเซเชิญเรนีมาที่อพาร์ทเมนต์เพื่อรับประทานอาหารค่ำ อิสเซให้เรนีอ่านกวีคลาสสิกของเยอรมัน เธอทำตามที่อิสเซต้องการ พอเรนีออกไปแล้วกลับก็พบอิสเซแสดงอารมณ์วิปริตออกมา เขาสูดดมกลิ่นที่เก้าอี้ที่เรนินั่ง ใช้ลิ้นเลียที่ผ้าบุเก้าอี้ พร้อมสบถว่าแม่คุณเอ๋ยฉันจะกินเธอให้อิ่มแปล้ให้จงได้ 

เรนีเห็นพฤติกรรมของอิสเซ ดูแล้วน่าขยะแขยงอย่างยิ่ง 

และแล้ววันนั้นก็มาถึง................................(จากคำให้การของอิสเซในเวลาต่อมาบอกว่าเขามีความคิดที่จะฆ่าโสเภณีเพื่อฆ่ากินศพหลายครั้งแล้ว แต่ตัดใจก่อนเพราะทำไม่ลง) 

.......................................................................................................... 

ชิ้นส่วนในตู้เย็น 










ดึกสงัดของคืนวันที่ 12 มิถุนายน 1981 ใจกลางกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส 

แถวๆบริเวณที่ทิ้งขยะของริมฝั่งแม่น้ำแซน ซึ่งไม่ห่างจากโบสถ์ นอเตรอะดามมี มากนัก เป็นสถานที่ที่คนไม่ค่อยจะผ่าน หรือเรียกได้ว่าเป็นที่เปลี่ยวลับหูลับตาคน และที่นี่ เป็นจุดรวมของคนเร่ร่อนที่ชาวฝรั่งเศlเรียกว่า "พวกโกซา" มาอาศัยหลับๆ นอนๆและคุ้ยเขี่ยหาเศษขยะเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ต่อ พอได้เงินมาจากการขโมยของหรือทำผิดกกฎหมายบางอย่างก็นำไปซื้อเหล้าขาวราคาถูกๆ ใส่ขวดน้ำ เดินโซซัดโซเซ บ้างก็พร่ำเพ้อบ้าบอด่าทอไปต่างๆนานาแล้วแต่จะนึกได้ ไม่ยี่หร่าในตัวเองและผู้อื่นที่อยู่ในบริเวณชุมชนนั้นๆพร้อมกับเนื้อตัวที่สกปรกมอมแมมเหม็นสาบ 

และในคืนนั้นนั่นเอง วันที่12 มิถุนายน 1981 พวกโกซา กลุ่มหนึ่งจะนอนก็นอนไม่หลับ อย่ากระนั้นเลย คุ้ยหาของในกองขยะดีกว่า เผื่อจะได้เจออะไรบางอย่างดีดีตัดหน้าคนอื่น ในขณะที่คนอื่นๆเขานั้น กำลังเมาพับและหลับไปอย่างเมามายไร้สติ 

ทันใดนั้น มีเสียงรถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นผ่านมา โกซาวัยคะนองผู้นั้นต้องยกมือเข้าปิดป้องที่ใบหน้า กันมิให้แสงสว่างจากไฟส่องหน้ารถเข้ามากระทบตา เขาจึงทำตาหยีๆเพื่อดูสถานการณ์ และแล้วประตูรถแท็กซี่เปิดอ้าออกมา มีหนุ่มเอเซียผู้หนึ่งกำลังค้นกระเป๋าเดินทางใบมหึมาออกจากรถอย่างเร่งรีบและทุลักทุเล เพราะท่าทางกระเป๋าใบนั้นคงจะหนักเอาการ 

เมื่อหนุ่มเอเชียนั้นเห็นพวกโกซาก็ตกใจเขาทิ้งกระเป๋านั้นไว้ ก็ปิดประตูรถแท็กซี่ และบึ้งถอยออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทราบว่า เหตุการณ์นั้นได้เข้ามาสู่สายตาของโกซาผู้หนึ่งแล้วและท่ามกลางกองขยะที่เน่าเหม็น 

หลังจากนั้นมีสองสามีภรรยาคนหนึ่งเดินมาเห็นเหตุการณ์พอดีจึงเดินมาดูบใบใหญ่นั้นพร้อมกับโอซา 

เมื่อฝากระเป๋าถูกเปิดออกทันที่ และทันใดนั้น....................... 

มือมนุษย์ข้างหนึ่งยืดออกจากซิปกระเป๋ามีคราบเลือดติดกรัง ภายในเป็นศพชิ้นส่วนมนุษย์ที่ถูกตัดเป็นท่อนๆ ยัดใส่ลงภายในอย่างประณีต แต่ในเวลาไม่นานชิ้นส่วนเหล่านั้นได้ส่งกลิ่นคาวคลุ้งออกมาจนน่าสะอิดสะเอียน สองสามีภรรยาและพวกโกซาร้องอุทานลั่น ผงะหงายหลังไป ก่อนที่จะตั้งสติได้ และวิ่งแจ้นไปแจ้งความกับตำรวจทันที 

นี่คือคำให้การของโคซา และสองสามีภรรยาคู่นั้น ซึ่งหนึ่งชั่วโมงต่อมาหลังเกิดเหตุ ตำรวจได้พบกระเป๋าเดินทางขนาดมหึมาที่โกซานั้นแจ้งความไว้ ตำรวจได้สอบถามบริษัทแท็กซี่หลายๆแห่ง แล้วก็ได้เบาะแสว่า ในคืนนั้น มีชายชาวเอเซียว่าจ้างให้รถแท็กซี่ให้ช่วยขนของจากอพาร์ทเม้นต์ไปทิ้งที่กองขยะริมแม่น้ำแซน 

ในขณะเดียวกันสื่อมวลชนเริ่มทำข่าวคดีนี้อย่างสนุกสนานจนเก้าอี้ผกก.ตำรวจร้อน 

สี่วันต่อมาหลังจากการพบชิ้นส่วนมนุษย์ ตำรวจถือหมายค้นเข้าห้องพักของนักศึกษาชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ชื่อว่า"อิสเซ ซากาวะ" 

เมื่อเปิดประตู ชายเตี้ยร่างผอมออกมาต้อนรับและให้ความร่วมมือกับตำรวจเป็นอย่างดี 

เขาได้ให้รายละเอียดว่า เขาชื่อ อิสเซ ซากาวะ อายุ 32 ปี เป็นลูกชายของเศรษฐีโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น 

แนะนำตัวเสร็จแล้ว เขาก็ทำตนเหมือนไม่มีความผิดอะไร ซากาวะเชิญชวนตำรวจให้เข้ามาในห้อง จัดแจงเสิร์ฟน้ำชาและคาดว่าน่าจะชวนให้รับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกันเป็นเพื่อกับเ 

แต่ด้วยการต้อนรับที่อบอุ่น ห้องของเขาที่สะอาดสะอ้าน แต่ทว่า......... 

ยังมีอะไรบางอย่างที่มีกลิ่นอายแห่งความกลัวและขนพองสยองเกล้า 

 

ที่ตรงนั้น...โต๊ะอาหาร ตำรวจต่างพากันพะอืดพะอมกับก้อนเนื้อเป็นกองๆ และเครื่องในที่ล้างๆออกมาไว้ในชาม กะละมังตั้งเรียงเป็นแถวเป็นแนว แล้วยังมีหม้อพะโล้ หม้อต้มเค็มวางไว้ข้างๆ 

ถ้ามองเข้าไปในครัวก็จะมองเห็นสตู ซึ่งกำลังเดือดปุดๆอยู่บนเตา สิ่งเหล่านี้ทำให้ตำรวจที่เข้ามารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรไม่รู้ แต่ใจพวกเขาคิดว่า ซากาวะดูท่าทางอบอุ่น ไม่น่าจะวิปริตขนาดนั้นหรอกมั้ง............ 

แต่ว่า........ลางสังหรณ์ก็บังเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อตำรวจเอื้อมมือเขาไปเปิดตู้เย็น 

ไอเย็นๆของน้ำแข็งระเหยออกมา ม้วนตัวออกมาเป็นวงรี ปรากฏศีรษะของผู้หญิงคนหนึ่งวางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางแสงไฟจ้า 

ศีรษะที่ถูกตัดแค่คอมีผมยาวสีน้ำตาลทอง ใบหน้าที่เคยดูสวย แต่บัดนี้กลับดูสยอง 

ตาข้างหนึ่งหรี่เกือบปิดสนิท อีกข้างหนึ่งลืมตาครึ่งๆ จมูกแหว่ง เปรอะเลือด และปากถูเฉือนออกมาทำให้เห็นแผงฟันขาวเวอร์เผยอ้าคล้ายกำลังส่งยิ้มออกมาให้กับผู้ที่จ้องมองเธอ 

"แล้วส่วนที่เหลือมันอยู่ไหน?"ตำรวจผู้ซึ่งถือหมายค้นถามด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน ขณะที่ตำรวจอีกหนึ่งคนเหงื่อไหลออกมาเป็นจุดๆ 

"ผมทานมันไปแล้วครับ"ซากาวะตอบอย่างยิ้มแย้ม ซื่อๆง่ายๆ เมื่อถามถึงเต้านมข้างขวา 

"ปรุงสุกๆอย่างนั้นหรือ!"ตำรวจนายนั้นถามซ้ำอีก เหมือนว่าเขาไม่อยากจะเชื่อในการกระทำของซากาวะ และเหลือเชื่อว่า คนเราจะมีวิธีการทำครัวและเครื่องปรุงวัตถุดิบที่สุดจะวิปริตได้ถึงเพียงนี้ 

"ดิบๆครับ ผมจะลองทำดูแบบซาซิมิดู!!!"ซากาวะตอบแล้วหัวเราะ 

"แล่บางๆให้เฉียบ แล้วกินดิบๆ หวานหอม อร่อยยิ่งกว่าปลาแซลมอนซะอีกนะครับ 

เมนูชวนอ๊วกของเขายังมิได้หมดเพียงเท่านี้ ซากาวะชี้ชวนให้ตำรวจทั้งหลายดู ซุปต้มเค็ม พะโล้เนื้อ สตู และต้มเครื่องในที่เก็บไว้กินกับข้าวสวยๆร้อนๆ 

"แหมๆ..........ผมไม่อยากเชื่อเลยนะนี่ ผู้หญิงตัวแค่นี้จะนำมาปรุงอาหารได้เยอะขนาดนี้ แถมอร่อยซะด้วย ดูสิ ผมเก็บไว้กินได้หลายๆอาทิตย์แน่ะ" 

ตำรวจและคอข่าวอาชญากรรมแทบทุกคนต่างพากันโก่งคอ อาเจียนกันหมด กว่าจะทำใจสืบสวนกันต่อไปได้รายการอาหารทั้งหมดเช่น ต้มเค็ม สตู ซาซิมิเต้านม ทุกรายการถูกถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งศีรษะที่เผยออยู่ในตู้เย็นด้วย 

ภาพทั้งหมดถูกนักข่าวจากนิตยสาร Photo ถ่ายเก็บเป็นสารคดีเล่มที่พิเศษสุด แต่น่าเสียดาย เพราะวางจำหน่ายเพียงวันเดียว ทางการสั่งให้เก็บออกจากแผงทั้งหมด เพราะว่ามันน่ากลัวเกินเขย่าขวัญเกินกว่าที่ประชาชนจะรับได้(แต่ผมหาเจอง่ะ ฮ่าๆ ใครสนใจ PM มาหลังไมค์นะครับ..) 

..........................................................................................................


คืนมรณะและบันทึกของอิสเซ 

 

ย้อนกลับไปวันที่ 11 มิถุนายน 1981 นั่นคือวาระสุดท้ายของเธอ 

อิสเซตัดสินใจฆ่าเรนีเพราะอยากกินเธอ จึงได้ชวนเรนีมาวันเกิดครบรอบ 32 ของเขา 

ที่โต๊ะตัวเตี้ย(โต๊ะโทคัทซึ)นั่งตามสไตล์ญี่ปุ่น ซากาวะแอบปลื้มอยู่เงียบๆ เพราะในใจเขาอยากกินเรนีใจจะขาดแล้ว 

เมื่อเรนีมาถึงอิสเซได้ต้อนรับเธอด้วยธรรมเนียมญี่ปุ่นด้วยการให้เรนีนั่งคุกเข่ากับพื้นชงชาให้ดื่มผสมเหล้าลงไปด้วย จากนั้นเขาได้สารภาพรักกับเรนีทันที ขณะที่เรนีกำลังตั้งใจสอนเขา 

เรนีดูท่าทางจะตกใจมาก เนื่องจากรับสถานการณ์ไม่ทัน หล่อนจึงแกล่งตอบกลบเกลื่อนไปว่าเธอคบอิสเซแค่เป็นเพื่อเท่านั้น ไม่ใช่แบบชู้สาว 

อิสเซเงียบไปพักหนึ่งแล้วผงะจากเรนีเดินไปหยิบกวีนิพนธ์มาส่งให้เธอ แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มบันทึกเสียงในขณะที่เรนีอ่านกวีนิพนธ์ อิสเซฟังเรนีอ่านกวีนิพนธ์พอใจแล้วจากนั้นก็เดินไปข้างหลัง หยิบปืนเดินกลับมาจากนั้นก็จ่อยิงกลางหลังเรนีหนึ่งนัด เรนีสะดุ้งเฮือกหล่นลงจากเก้าอี้ลงกองอยู่บนพื้นเธอตายทันที อิสเซพูดพล่านกับเรนีเหมือนคนบ้าต่อหน้าศพของเรนี 

อิสเซเริ่มเปลื้อยผ้าออกจากศพของเรนีพบว่ามันยุ่งยากพอสมควร แต่ช่างหัวมันเถอะเพราะตอนนี้เธอเป็นของเขาแล้ว 

อิสเซเดินไปหยิบมีดยาวคมกริบมาเฉือนหัวนมข้างซ้าย กับปลายจมูกของเรนีอย่างชำนาญ จากนั้นเขาเอาปลายจมูกใส่ปากเคี้ยวกินดิบๆ อย่างเอร็ดอร่อย 

ในตอนหนึ่งในหนังสือ "ในหมอก" อิสเซได้บรรยายตอนนี้อย่างกวีนิพนธ์ไว้ว่า 

"ข้าพเจ้าเอามือจับเอวเธอแล้วคิดว่าจะกินส่วนไหนก่อนเป็นอันดับแรก เอาล่ะแก้มก้นขวานี้แหละ กร้วม ข้าพเจ้าอ้าปากกัดลงไปเต็มที่แต่มันเหนียวมากจนฟันกัดไม่เข้า" 

จากนั้นเขาก็เล่าไปฉากๆ ถึงเรื่องไขมันและกล้ามเนื้อ 





"ข้าพเจ้าใช้มีดจ้วงแทงลงไปร่างของเรนี ไขมันก็ผลุดออกจากบาดแผลที่ฉีกกว้างสีมันเหลืองเหมือนสีเมล็ดข้าวโพดไม่ผิด ข้าพเจ้าดึงออกมาดม ปรากฏว่ามันไม่มีกลิ่นคาวและเหม็นเขียวสักนิด ข้าพเจ้าจึงแลลึกเข้าไปจนถึงเนื้อแดง ตัดเป็นชิ้นพอๆ คำใส่ปากเคี้ยวดิบๆ มันละลายในปากรสชาติคล้ายทูน่าทำซาซิมิในภัตตาคารไม่มีผิด" 

อิสเซง่วนอยู่กับการชำแหละศพของเรนีด้วยมีดปอกสายไฟอันคมกริบมาชำแหละเป็นชิ้นๆ ส่วนหนึ่งเก็บสำรองไว้กิน ส่วนหนึ่งก็ใส่ปากเคี้ยวดิบๆ โดยอาหารจานแรกที่อิสเซทำคือ "เนื้อคนผัดมัสตาร์ค" เขาถ่ายรูปศพที่อันเป็นเศษเนื้อเธอไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่จะเปลือกเสื้อผ้าร่วมรักกับศพอย่างหื่นกระหาย เขาบรรยายฉากนี้อย่างละเอียดลออไว้ว่า 

"ระหว่างที่ข้าพเจ้าร่วมรักกับศพของเธอมันเหมือนกับว่าเธอหอบหายใจออกมา ข้าพเจ้าเร่งจังหวะแล้วบอกกับเธอว่า ผมรักเธอที่สุดในโลก โอ้....ว" 

เนื้อที่ชำแหละไว้อิสเซได้เก็บไว้เพื่อทำอาหาร กินไปพลางฟังเสียงบทกวีที่เรนิอ่านในเทปบันทึกไปพลาง เมื่ออิ่มก็ใช้กางเกงในของเธอซับปากแทนผ้าเช็ดหน้า จากนั้นเดินกลับไปที่ศพเรนี ตัดเต้านมสองข้างไปอบในเตาอบ พอสุกก็เอามากินแชแต่ปรากฏว่าเขาไม่ชอบเพราะมันเหนียวยืดยาด ซึ่งเขาชอบเนื้อต้นขาของเรนีมากกว่า 

เมื่ออิสเซชำแหละศพจนเหนื่อยหลังจากนั้นเขาก็ลากศพที่ยับเยินไปนอนกอดบนเตียงจนม่อยหลับ โดยเขาตั้งใจว่าจะทำลายหลักฐานในวันรุ่งขึ้นให้หมด ฃ 

พอวันรุ่งเช้าเมื่อเขาตื่นนอนก็แทะเนื้อจากท้องแขนไปถึงข้อศอก ช่วงนี้อิสเซเขียนไว้ว่า 

"ไม่รู้น่ะ ว่าทำไมแต่บอกได้คำเดียวว่า อร่อยชะมัด" 

อิสเซยังไม่หายหิว เขาเชือดโน่นเชือดนี้กับอวัยวะส่วนต่างๆ ที่เหลืออยู่แม้แต่ทวารหนักเขาก็คว้านออกมา แล้วยัดใส่ปากเคี้ยวแต่กลิ่นมาสุดทนจนเขาต้องคายออกมา ชิ้นส่วนจากทวารหนักที่เหลือเขาต้องนำไปทอดแต่ก็รับไม่ได้เพราะมันเหม็นสุดๆ เขาจำเป็นต้องเททิ้งถังขยะแล้วแล่ส่วนอื่นๆ ไปกินต่อไป 

เวลาผ่านไปแมลงวันฝูงใหญ่เริ่มแห่กันมาตอมซากศพอันแหลกเหลว อิสเซเริ่มได้สติว่าศพของเรนีเริ่มส่งกลิ่น เวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์หมดลงแล้ว อิสเซต้องทำลายหลักฐาน 

อิสเซเริ่มจากใช้ขวานสับร่างของเรนีเป็นท่อนๆ เพื่อจะยัดลงในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ เอาไปทิ้งเพื่อเอาหลักฐานไปทำลาย เขาสับไปก็เกิดอารมณ์เปลี่ยว จึงใช้มือของเรนิมาสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นทาง 

ทำไปกินไป เอาเนื้อจมูกมากินเสียงกรุบกรอบบ้าง เอาริมฝีปากเธอกินบ้าง อิสเซได้บรรยายในตอนนี้ไว้ว่า 

"ข้าพเจ้าอยากกินลิ้นเธอแต่งัดขากรรไกรล่างออกมาไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็เอามือล้วงผ่านช่องว่างระหว่างฟันเข้าไปจนได้ ที่สุดก็ควักปลายลิ้นออกมา ข้าพเจ้าใช้ใบมีดเฉือนปลายลิ้นของเธอออกแล้วโยนใส่ปากเคี้ยวหน้ากระจกเงา" 

จากนั้นก็ล้วงเข้าไปคลำอวัยวะภายในซึ่งทำให้เขาปวดแสบปวดร้อนเมื่อไปสัมผัสกับกรดในกระเพาะอาหารเข้า แต่สุดท้ายก็เอาขวานตัดศีรษะของเรนีออกจากร่าง อสเซขยุ้มเส้นผมของเรนีไว้ หิ้วหัวของเธอไว้ตรงหน้าอิสเซแล้วบรรยายความรู้สึกตรงนี้ไว้ว่า 

"ตอนนี้แหละที่ได้ประจักษ์ว่าตนเองคือมนุษย์กินคนที่แท้จริง" 

กว่าที่จะยัดชิ้นส่วนของเรนีลงในกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนของวันที่สองของการฆาตกรรม ลากปกระเป๋าลงมาจากกระเป๋าลงมาจากอพาร์มเมนต์เพื่อเรียกแท็กซี่ ลงมาจากแท็กซี่ที่ บัวส์ เดอ บูโลญจน์ ลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในสวนสาธารณะกะว่าจะหย่อนลงในสระน้ำ แต่กระเป๋าใบใหญ่มากยากแก่การเคลื่อนย้าย แถมคนดูก็จ้องเขม็ง จนเขาต้องตัดสินใจทิ้งกระเป๋าแล้วเผ่นเอาตัวรอดทันที 


บ้าสถานเดียว 


ตำรวจได้ทำการบุกที่ห้องพักของอิสเซหลังจกพบศพเรนีพร้อมหมายค้น ตำรวจทำการตรวจดูเย็นถึงกับผงะเมื่อพบชิ้นส่วนมนุษย์ อาทิ ริมฝีปาก เนื้อหนัง ที่ถูกแล่อย่างสยดสยอง เลือดละเลงเต็มตู้เย็น 

อิสเซสารภาพและเผยรายละเอียดการทำการฆาตกรรมเรนีทุกขั้นตอน ดังที่ปรากฏก่อนหน้านี้ และเขายังสารภาพกับตำรวจด้วยว่าเขามีอาการป่วยทางจิตแต่ไม่ได้ทำการรักษาจริงๆ จังๆ ก่อนหน้าที่จะมาเรียนที่ฝรั่งเศส 

ตำรวจได้นำสำนวนและคำรับสารภาพของอิสเซส่งไปให้อัยการและผู้พิพากษา 

อัยการเคยถามอิสเซว่ากินเนื้อของเหยื่อด้วยเหตุใด มันอร่อยหรือ? คำตอบของซากาวะคือ 

"มันไม่เห็นจะอร่อยตรงไหน ผมฆ่าเธอเพราะอยากกินเธอดูเท่านั้น" 

ผู้พิพากษาอ่านสำนวนจนไตร่ตรองแล้วก็คำสั่งไม่เปิดศาลพิจารณาคดีเพราะพฤติกรรมของอิสเซชัดเจนแล้วว่าเป็นคนบ้า แต่ให้นำตัวไปบำบัดในโรงพยาบาลโรงจิต โดยให้จิตแพทย์สามคนทำการตรวจสอบอิสเซเพื่อแน่ใจ จนมีความคิดเห็นตรงกันว่า "รักษาไม่หาย" 

อิศเซ ซากาวะจึงถูกนำตัวไปรักษาในโรงพยาบาลโรคจิต พอล กีโรด์ 

ส่วนอากิระ ซากาวะ บิดาของอิสเซ ได้วิ่งเต้นขอให้นำตัวอิสเซารักษาตัวที่โรงพยาบาลโรคจิตมัคสึซาวะแทนที่จะเป็นพอล กีโรด์ และในขณะเดียวกันด้านผอ.โรงพยาบาลพอล กีโรด์ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาล และเชื่อว่าอิสเซไม่บ้า สมควรที่ได้รับโทษติดคุก แต่ด้วยความมุมานะของพ่อของอิสเซทำให้อิสเซได้รับการปล่อยตัวในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1985 หลังใช้ชีวิตในโรงพยาบาลนั้นเพียงแค่ 15 เดือน 

แต่ถึงอย่างไรอิสเซต้องอยู่ในการดูแลของจิตแพทย์อย่างใกล้ชิด จนสามารถออกไปใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นอีกครั้งในอีก 5 ปีต่อมา ทั้งยังสามารถทำพาสปอร์ตไปยังประเทศเยอรมันอีกด้วย 



ความสุขของอิสเซ 



ทุกวันนี้อิสเซ วากาวะ มีความสุขกับการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการตกเป็นเป้าสนใจของสื่อต่างๆ ที่ทำให้เขากลายเป็นดารา ส่วนสาธารณะชนแทนที่จะประฌานกับยกย่องและตั้งฉายาให้เขาว่า "บิดาแห่งการกินคน" รู้สึกอิสเซจะพอใจฉายานี้มากถึงกับหลุดปากว่า "ยอดว่ะ" 

นอกจากนี้อิสเซยังออกรายการทอร์ค โชว์เพื่อพูดประสบการณ์กินคน และได้แสดงภาพยนตร์ลามกที่ผลิตในประเทศอีกหลายเรื่อง(อิจฉาจัง) เมื่อมีเวลาว่างก็เขียนนวนิยายรวม 4 เล่มด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับฆ่ากินศพของเรนีสามารถขายได้กว่า 200,000 เล่มจนพ่อของอิสเซต้องภูมิใจ 

นอกจากนี้ความดังของอิสเซจะปรากฏในรูปแบบสื่อต่างๆ มากมาย เช่น 

วงโรลริ่ง สโตน ได้แต่งเพลงชื่อ "เลือดท่วม" อันเนื่องจากประทับใจการกินคนของอิสเซ 

เรื่องของเขาได้ดัดแปลงเป็นการ์ตูน 

ได้ถ่ายปกเปลือยให้ร้านอาหารชื่อดังในญี่ปุ่น 

เปิดเว็บ ไซท์ ของตัวเอง ให้คนเยี่ยมชมว่าการกินเนื้อคนไม่ใช้เรื่องน่ารังเกียจเดียดฉันแต่อย่างใด พร้อมให้คนไปเยื่ยมชมภาพเขียนรูปก้นของสตรียุโรปให้ดูอย่างเป็นศิลปะ 



อิสเซใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระอยู่อย่างสงบสุขในบ้านเกิด และเป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อตราบชั่วอายุไข 

วิธีดู Flash Drive Kingston ของแท้ ของปลอม

ะวัง............ของปลอม

 ก้นของแท้ต้องเต็ม เนียนมากๆ ถ้าไม่สังเกตดีๆ มองไม่เห็น ของแท้ ตำแหน่งสถานะไฟการทำงาน ของแท้มีรหัสรุ่นบ่งบอก ของเทียมไม่มี

Facebook เกิดมาได้ยังไง!





เว็บไซต์เฟซบุ๊กที่เป็นที่ นิยมในขณะนี้เป็นบริการบนอินเตอร์เน็ตที่ผู้ใช้จะติดต่อสื่อสารและร่วมทำ กิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งหรือหลายๆ กิจกรรมกับผู้ใช้เฟซบุ๊กคนอื่นๆ ได้
 

มี ทั้งการตั้งประเด็นถามตอบในเรื่องที่สนใจ โพสต์รูปภาพ โพสต์คลิปวิดีโอ เขียนบทความหรือบล็อก แช็ตคุยกัน เล่นเกมแบบเป็นกลุ่มและทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ 

ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก คือ มาร์ก ซักเกอร์ เบิร์ก เกิดเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2527 รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีพี่น้องทั้งหมด 4 คน ซักเกอร์เบิร์กเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว

ซักเกอร์เบิร์กชอบเขียน และพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์และโปรแกรมเกม ในวัยเด็ก มาร์กเคยพัฒนาโปรแกรมสื่อ สารให้กับสำนักงานของพ่อและไซแนปส์ ซึ่งเป็นโปรแกรมเพลงใช้เรียนรู้พฤติกรรมของผู้ฟัง 

เมื่อศึกษาที่มหา วิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ซักเกอร์เบิร์กคิดทำหนังสือรุ่นออนไลน์แต่มหาวิทยาลัยไม่เอาด้วย จึงลักลอบเข้าเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเพื่อหาประวัติของนักศึกษาฮาร์วาร์ดจาก ฐานข้อมูลมหาวิทยาลัยมาใส่ในเว็บไซต์ Facemash ได้สำเร็จ และชวนเพื่อนๆ นักศึกษาเล่นเกม "Hot or Not" โดยโพสต์รูปแล้วให้เพื่อนๆ เข้ามาช่วยกันโหวตว่าใครเป็นที่นิยม ภายในเวลาแค่ 4 ชั่วโมง มีนักศึกษา เข้ามาโหวตถึง 450 คน สร้างสถิติการ ชม 22,000 ครั้ง แต่แทนที่จะได้รับเสียงชมจากอาจารย์ ซักเกอร์เบิร์ก กลับถูกมหาวิทยาลัยลงโทษระงับการใช้อินเตอร์เน็ต นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้าง เฟซบุ๊ก 

วันที่ 4 ก.พ.2548 ถือว่าเป็นวันเปิดตัวเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ในระยะแรกเว็บไซต์เฟซบุ๊กเป็นเครือข่ายทางสังคมสำหรับนักศึกษาฮาร์วาร์ดเท่า นั้น แต่ไม่นานมหาวิทยาลัยอื่นๆ ก็เริ่มอยากใช้เฟซบุ๊กบ้าง ซักเกอร์เบิร์ก จึงต้องเขียนโปร แกรมเพิ่ม พร้อมกับชวนเพื่อนๆ คือ ดัสติน มอสโควิตซ์ และคริส ฮิวจ์มาช่วยกันสร้างเฟซบุ๊กให้รองรับสมาชิกมากขึ้น เพียงแค่ 4 เดือนเฟซบุ๊กก็กลายเป็นที่นิยมในฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยอื่นๆ กว่า 30 แห่ง เมื่อเฟซบุ๊กประสบความสำเร็จ ทีมของซักเกอร์เบิร์กจึงย้ายมาปักหลักที่แคลิฟอร์เนีย ซึ่งมาร์กพบกับปีเตอร์ ธีล นักลงทุนรายแรกที่ร่วมลงทุนในเฟซบุ๊ก

เสียเวลาอ่านนิดนึ่งนะ...อันตรายทีไม่มีใครรู้...มาก่อน

ไต้หวัน-- -- หญิงคนหนึ่งเลือดออกทางทวารทั้ง 7 โดยไม่รู้สาเหตุ เสียชีวิตในข้ามคืนเดียว จากการชันสูตรศพเบื้องต้น ลงความเห็นว่าตายเพราะพิษสารหนู แล้วสารหนูมาจากไหนล่ะ 
ตำรวจเริ่มสืบสวนในวงกว้าง และเชิญศาสตราจารย์นิติเวชมาร่วมคลี่คลายคดี
 
ศาสตราจารย์ตรวจวิเคราะห์สิ่งตกค้างในกระเพาะ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เปิดโปงสาเหตุการตายฉับพลัน
" ผู้ตายไม่ได้ฆ่าตัวตาย ไม่ได้ถูกลอบสังหาร แต่ตายเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ถูกมันฆ่า" ศาสตราจารย์ฟันธง 
ผู้คนงงเป็นไก่ตาแตก อะไรคือ "มันฆ่า
 " แล้วสารหนูมาจากไหน
ศาสตราจารย์กล่าวว่า สารหนูเกิดในกระเพาะผู้ตาย ผู้ตาย
กินวิตามินซีทุกวัน นี่ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่เธอกินกุ้งจำนวนมากในมื้อเย็น กินกุ้งโดยลำพังก็ไม่มีปัญหา คนในบ้านกินกันก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ผู้ต ายกินวิตามินซีพร้อมกันด้วย ปัญหาจึงเกิดตรงนี้แหละ 
นักวิจัยมหาวิทยาลัยชิคาโกเคยทำการทดลอง พบว่าสัตว์เปลือกอ่อนเช่นกุ้งมีสารประกอบอาเซนิกเข้มข้นในปริมาณสูง สารประกอบชนิดนี้เข้าไปอยู่ในร่างกายก็ไม่มีพิษภัยอะไร แต่เมื่อรับประทานวิตามินซีพร้อมกัน จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้สารประกอบเดิมที่มีสูตรเคมี 
As2O5 หรืออาเซนิกออกไซด์ซึ่งไม่มีพิษ กลายเป็นสารประกอบที่มีสูตรเคมี As2O 3 หรืออาเซนิกไตรออกไซด์ซึ่งมีพิษหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า
สารหนูนั้นเอง 
พิษสารหนูจะทำให้การทำงานของเส้นโลหิตฝอยและเอนไซม์ของซัลฟีดรีลขัดข้อง
 เกิดอาการเลือดคั่งในหัวใจ ตับ ไต และลำไส้ เซลล์ผิวหนังตายด้าน เส้นโลหิตฝอยขยายตัว ดังนั้น ผู้ที่รับพิษจนตาย จะมีเลือดออกทางทวารทั้งเจ็ด 
เพราะฉะนั้น ในระยะที่รับประทานวิตามินซี ต้องงดกินอาหารประเภทกุ้ง เพื่อความไม่ประมาท
 

ภาพวาดฝีพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดูได้ยากมาก มาดูให้เป็นบุญตา















10 อันดับ ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก



10 อันดับ ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 
อันดับที่ 10 สาธารณรัฐ สโลวีเนีย

     หลายคนคงเซอร์ไพรส์ที่สโลวีเนีย ติดอันดับท็อป 10 เป็นหนึ่งในประเทศที่ "ปลอดภัยมากที่สุดในโลก" สโลวีเนีย ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเทือกเขาแอลป์ มีอาณาเขตติดกับประเทศ อิตาลี โครเอเชีย ฮังการี และออสเตรีย ในอดีตสโลวีเนียเคยเป็น 1 ใน 6 รัฐของยูโกสลาเวีย แต่หลังจากลัทธิคอมมิวนิสต์และยูโกสลาเวียล่มสลาย สโลวีเนียก็ประกาศตัวเป็นประเทศเอกราช เมื่อปี พ.ศ. 2534 และได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกสหภาพยุโรป เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่ผ่านมา สโลวีเนีย เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีพื้นที่น้อยกว่าประเทศไทย 25 เท่า ด้วยความที่มีทัศนียภาพอันงดงาม และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการเล่นสกี จึงทำให้ประเทศนี้เริ่มกลายเป็นอีกหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่น่าจับตามองของ ฟากฝั่งยุโรป ที่สำคัญ สโลวีเนีย เป็นประเทศที่เงียบสงบ มีสถิติการเกิดอาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำ ทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีของผู้ก่อการร้ายน้อยมาก



10 อันดับ ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
อันดับ ที่ 9 สาธารณรัฐ ฟินแลนด์

     ฟินแลนด์ เป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดน ต่อมาได้อยู่ภายใต้จักรวรรดิรัสเซียจนถึงปี พ.ศ. 2460 ปัจจุบันถือเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตย ฟินแลนด์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศมีความมั่นคงมากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และทางด้านการทหาร นอกจากนี้ เมืองต่างๆ ของประเทศฟินแลนด์ ยังมีความทันสมัยและเจริญก้าวหน้ามาก ด้าน สภาพภูมิประเทศ ฟินแลนด์มีทะเลสาบและเกาะใหญ่น้อยเป็นจำนวนมาก ทั้งยังเต็มไปด้วยป่าสน และเนื่องจากพื้นที่ราวหนึ่งในสี่ตั้งอยู่บน อาร์กติกเซอร์เคิล ทำให้ตอนบนสุดของประเทศฟินแลนด์เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน โดยในช่วงฤดูร้อนพระอาทิตย์จะไม่ตกดินเป็นเวลา 73 วัน ส่วนในช่วงฤดูหนาวพระอาทิตย์จะไม่ขึ้นเลยเป็นเวลา 51 วัน แม้ ว่าที่ผ่านมา สถิติการเกิดคดีอาชญากรรมในประเทศฟินแลนด์จะสูงกว่าประเทศอื่นๆ ที่อยู่ใน อันดับท็อปเท็นเป็นประเทศที่ "ปลอดภัยที่สุดในโลก" เล็กน้อย... แต่เนื่องจากฟินแลนด์เป็นประเทศที่เคารพในเสรีภาพของพลเรือน สิทธิมนุษยชน และกระบวนการทางด้านประชาธิปไตยสูงมาก จึงทำให้ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความปลอดภัยมากที่สุดสำหรับนัก เดินทาง



10 อันดับ ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
อันดับ ที่ 8 ประเทศ แคนาดา

     แคนาดา เป็นประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ มีอาณาเขตติดกับสหรัฐอเมริกา ที่ตั้งของประเทศแคนาดาอยู่ทางตอนบนสุดของแผนที่โลก และยังมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอีกด้วย ค่านิยมหลักของสังคมแคนาดาที่ฝังลึกใน ทุกคนคือ การส่งเสริมและเคารพในสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์ ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานสำคัญที่สุดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เห็นได้จากการที่รัฐบาลแคนาดา เปิด รับคนต่างชาติอย่างเป็นทางการให้สามารถเข้าไปตั้งถิ่นฐานในบ้านเมืองตนได้ โดยที่ยังคงสามารถดำเนินวิถีชีวิตตามขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมตามแบบฉบับดั้งเดิมของตน ด้วยเหตุนี้ ประชากรของแคนาดาจึงประกอบด้วยผู้คนจากเชื้อชาติต่าง ๆ มากมาย และชนชาติที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในแคนาดามากที่สุด ก็คือคนเอเชียนั่นเอง แม้ว่าแคนาดาจะมีสถิติการเกิดคดี อาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำมาก แต่ที่ไม่ติดอันดับท็อปไฟว์ประเทศที่ปลอดภัยมากที่สุด เนื่องจากเสียแต้มให้กับการที่ประชาชนสามารถเข้าถึงอาวุธได้ง่าย ที่สำคัญ การที่แคนาดาส่งทหารไปร่วมรบในสงครามอัฟกานิสถาน ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา จึงทำให้ถูกประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่แคนาดาอาจตกเป็นเป้าโจมตีของผู้ก่อ การร้าย



10 อันดับ ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
อันดับ ที่ 7 ประเทศ ญี่ปุ่น

     ญี่ปุ่น เป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยกว่า 3,000 เกาะ บนมหาสมุทรแปซิฟิก ทิศตะวันตกติดคาบสมุทรเกาหลีและสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางด้านทิศเหนือติดกับประเทศรัสเซีย โดยมีทะเลโอค็อตสก์เป็นเส้นแบ่งเขตแดน แม้ว่าที่ผ่านมา ญี่ปุ่นจะบอบช้ำจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีในปัจจุบัน และเนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มี ประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีวัฒนธรรมอันโดดเด่น ทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดโบราณ ศาลเจ้า หรือสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็มีวัฒนธรรมร่วมสมัย เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า อาหารเลื่องชื่อ และแสงสีในยามค่ำคืน จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเยือนเป็นจำนวนมากในแต่ละปี หาก พิจารณาตามดัชนีความสงบสุขโลก หรือ จีพีไอ ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีสถิติการเกิดอาชญากรรมรุนแรงต่ำมาก และมีกฏระเบียบเรื่องการครอบครองอาวุธที่เข้มงวด ส่วนสถิติทางด้านการลักขโมยก็ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอุตสาหกรรม อื่นๆ ทางฝั่งตะวันตก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในแถบเอเชียที่ติด 1 ใน 10 ประเทศที่ "ปลอดภัยที่สุดในโลก"



10 อันดับ ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
อันดับ ที่ 6 ประเทศ สวีเดน

     เช่นเดียวกับสโลแกนของ "วอลโว่" รถยนต์หรูชื่อดังสายเลือดสวีดิช... ทุกชีวิตก็ปลอดภัยในสวีเดนเช่นกัน สวีเดน เป็นประเทศกลุ่มนอร์ดิกที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศนอร์เวย์ ฟินแลนด์ ช่องแคบสแกเกอร์แรก และช่องแคบแคทีแกต พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าไม้ ภูเขาสูง และมีทะเลสาปที่สวยงามเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าสวีเดนจะตั้งอยู่ทางตอนเหนือ มาก แต่กลับมีภูมิอากาศแบบอบอุ่น เนื่องจากได้รับอิทธิพลของกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม และเนื่องจากตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาร์กติกเซอร์เคิล สวีเดนจึงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน สวีเดน เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้คะแนนสูงมาก ทั้งทางด้านการเคารพในสิทธิมนุษยชน ความมีส่วนร่วมทางการเมือง เสรีภาพของพลเรือน และมีสถิติการเกิดอาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำมาก แต่เนื่องจากสวีเดนเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ จึงทำให้ถูกตัดคะแนนในส่วนนี้ไปค่อนข้างมาก ตำแหน่งเลยร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 6 ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว สวีเดนถือเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก



10 อันดับ ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
อันดับ ที่ 5 สาธารณรัฐ ออสเตรีย

     ออสเตรีย เป็นประเทศในยุโรปกลางที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ทิศเหนือจรดเยอรมนีและเช็ก ทิศตะวันออกจรดสโลวาเกียและฮังการี ทิศใต้จรดสโลวีเนียและอิตาลี ส่วนทิศตะวันตกจรดสวิตเซอร์แลนด์และลิกเตนสไตน์ ประเทศออสเตรียเป็นอีกหนึ่งจุดหมาย ปลายทางสุดฮอตของนักท่องเที่ยว เพราะนอกจากจะมีทัศนียภาพที่งดงามแล้ว ยังเป็นดินแดนแห่งเสียงดนตรี เนื่องจากเป็นบ้านเกิดของ "วอล์ฟกัง อมาเดอุส โมซาร์ท" นักประพันธ์ดนตรีคลาสสิกชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงก้องโลก ออสเตรีย เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความปลอดภัยสูงมากสำหรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากมี สถิติการเกิดอาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำ และมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่สิ่งที่ทำให้ออสเตรียเสียแต้มใน "ดัชนีความสงบสุขโลก" ไปบ้างก็คือ การที่มีคะแนนในส่วนของการเคารพสิทธิมนุษย์ชน และการยอมรับนับถือผู้อื่นต่ำกว่าชาติยุโรปที่ติดอันดับต้นๆ ในโผนี้



10 อันดับ ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
อันดับ ที่ 4 ประ เทศไอซ์แลนด์

     ไอซ์แลนด์ เป็นประเทศที่อยู่ในยุโรปเหนือ ตั้งอยู่บนเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ระหว่างกรีนแลนด์ นอร์เวย์ และสหราชอาณาจักร นอกจาก ไอซ์แลนด์ จะเป็น บ้านเกิดของ "บียอร์ค" นักร้องนักแสดงชื่อดังระดับโลกแล้ว ยังเป็นดินแดนแห่งธารน้ำแข็ง ภูเขาไฟ น้ำพุร้อน และยังเป็นแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพจำนวนมหาศาลอีกด้วย ครั้งหนึ่งยูเอ็นเคยระบุว่า ไอซ์แลนด์ เป็นประเทศที่มีการพัฒนามากที่สุดในโลก และเคยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความมั่งคั่งต่อประชากรมากที่สุดใน โลกอีกต่างหาก ที่สำคัญ ไอซ์แลนด์ ยังถือเป็นประเทศที่มีระบบสวัสดิการสังคมดีเยี่ยมอีกด้วย ไอซ์แลนด์ เป็นอีกหนึ่งประเทศในกลุ่มนอร์ดิกที่มีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวสูงมาก เนื่องจากมีสถิติการเกิดอาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำ มีระดับการเคารพสิทธิมนุษยชนสูง



10 อันดับ ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
อันดับ ที่ 3 ประ เทศนอร์เวย์

     นอร์เวย์ เป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ตั้งอยู่ในยุโรปเหนือ ทางด้านตะวันตกของคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย มีอาณาเขตจรดประเทศสวีเดน ฟินแลนด์ และรัสเซีย ส่วนอาณาเขตทางทะเลจรดมหาสมุทรแอตแลนติก ใกล้กับประเทศเดนมาร์กและสหราชอาณาจักร นอร์เวย์เป็นที่ตั้งของ ฟยอร์ด* ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดในโลก และยังเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงที่มีสีสันสดใสสะดุดตา รายล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงามดุจภาพเขียน จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่ว โลกให้เดินทางไปเยี่ยมเยียนเป็นจำนวนมากในแต่ละปี * ฟยอร์ด (Fjord) คือ อ่าวลักษณะแคบและยาวที่อยู่ระหว่างหุบเขาสูงชัน ซึ่งหุบเขาที่ว่านั้นเคยมีธารน้ำแข็งปกคลุมเป็น เวลายาวนาน เมื่อภูเขาดังกล่าวถูกน้ำแข็งกัดเซาะนานเข้าจึงเกิดการสึกกร่อน ทำให้บางส่วนร่วงหล่นจมหายไปใต้น้ำ ส่วนที่เหลืออยู่ (ภูเขา) จึงมีลักษณะแหลมๆ หรือเป็นหน้าผาสูงชัน นอร์เวย์ เป็นประเทศที่มีคะแนนในเรื่องของการเคารพสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพส่วนบุคลสูงมาก ทั้งยังยอมรับในศาสนาและวัฒนธรรมที่แตกต่าง มีอัตราการเกิดอาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มสแกนดิเนเวียที่อยู่ใน 10 อันดับนี้ แม้ว่าที่ผ่านมานอร์เวย์จะมีส่วนร่วม ในการทำสงครามที่อัฟกานิสถาน แต่ก็ถือว่าเป็นประเทศที่มีโอกาสตกเป็นเป้าโจมตีจากผู้ก่อการร้ายน้อยมาก



10 อันดับ ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
อันดับ ที่ 2 เดนมาร์ก

     เดนมาร์ก เป็นอีกหนึ่งประเทศในกลุ่มนอร์ดิก มีแผ่นดินหลักตั้งอยู่บนคาบสมุทรจัตแลนด์ ทิศเหนือจรดประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางบกเพียงประเทศเดียว ส่วนบริเวณชายฝั่งมีพรมแดนจรดทะเลเหนือและทะเลบอลติก โดยมีประเทศนอร์เวย์ อยู่ทางด้านทิศใต้ และประเทศสวีเดนอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ เดนมาร์ก เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความปลอดภัยและสงบสุขมากที่สุดในโลก ถึงแม้ว่า ประเทศนี้จะมีคะแนน "ดัชนีความสงบสุขโลก" โดยรวมเท่ากับประเทศนิวซีแลนด์ แต่กลับถูกประเมินว่ามีโอกาสตกเป็นเป้าโจมตีได้มากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมาเคยมีหนังสือพิมพ์เดนมาร์กตีพิมพ์ภาพการ์ตูนโมฮัม หมัด (ซึ่งเป็นการ์ตูนล้อเลียนโลกมุสลิม) จนตกเป็นข่าวเกรียวกราว และ เดนมาร์กก็เคยมีส่วนร่วมรบในสงครามอิรักอีกด้วย แม้ว่าในช่วงปี ค.ศ. 2006-2007 จะเคยเกิดเหตุรุนแรงกลางกรุงโคเปนเฮเก้น แต่เดนมาร์กยังคงได้รับความเชื่อมั่นว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัย เนื่องจากมีความเคารพในสิทธิมนุษยชนสูง มีความเสมอภาคระหว่างชาย-หญิง ทั้งยังมีสถิติการเกิดคดีฆาตกรรมและอาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำมาก



10 อันดับ ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
อันดับ ที่ 1 ประเทศ นิวซีแลนด์

     นิวซีแลนด์ หรือ "ดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว" เป็นประเทศที่ประกอบด้วยเกาะใหญ่ 2 เกาะ และเกาะเล็ก ๆ อีกจำนวนหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก นิวซีแลนด์ ถือเป็นประเทศที่ตั้งโดดเดี่ยวห่างไกลจากประเทศเพื่อนบ้านมากที่สุด โดยประเทศที่อยู่ใกล้นิวซีแลนด์มากที่สุดคือ ออสเตรเลีย แต่ก็อยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะใหญ่ราว 2,000 กิโลเมตร โดยมีทะเลแทสมันกั้นกลาง ดินแดนเดียวที่อยู่ทางตอนใต้ของนิวซีแลนด์ คือ ทวีปแอนตาร์กติกา ส่วนทางตอนเหนือ คือ นิวแคลิโดเนีย ฟิจิ และตองกา ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นที่เลื่องลือในหมู่นักท่องเที่ยวเรื่องทัศนียภาพที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ภูเขาไฟ ฟยอร์ด ทะเล ธารน้ำแข็ง โคลนเดือด ฯลฯ รวมทั้งวัฒนธรรมที่โดดเด่นหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมของชาวเมารี ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมือง และกิจกรรมที่ขึ้นชื่อของประเทศนี้ก็คือ กีฬาประเภทเอ็กซ์ตรีมต่างๆ