วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

จริยธรรมและความปลอดภัย

ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์

ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 
บทที่  1  ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม
ประวัติการพัฒนาภาษาปาสคาล
ประมาณปี พ.ศ. 2514 ดร.นิคลอล เวียร์ต (Professor Doctor Nicklaus Wirth) ชาวเมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้พัฒนาภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมาภาษาหนึ่ง ซึ่งจุดมุ่งหมายหลักในการพัฒนาภาษานี้ คือ ให้เป็นภาษาสำหรับฝึกเขียนโปแกรมสั่งงานคอมพิวเตอร์อย่างมีระบบและมีระเบียบ และได้กำหนดให้ภาษาใหม่นี้มีชื่อว่า ภาษาปาสคาล (Pascal Language) เพื่อเป็นเกียรติแก่ Blaise Pascal นักคณิตศาสตร์และปรัชญาแมธีชาวฝรั่งเศสผู้สร้างเครื่องคิดเลขเครื่องแรกของโลก 
ภาษาปาสคาลมีต้นแบบมาจากภาษา ALGOL (Algorithmic Language) และตัวภาษาปาสคาลเองก็ได้ถูกพัฒนาต่อไปเป็นภาษาที่รู้จักกันในชื่อต่าง ๆ เช่น ภาษา MODULA2 ภาษา Ada ซึ่งเป็นภาษาที่ได้รับการคาดหมายว่าจะได้รับความนิยมในอนาคต แต่เป็นภาษาใหม่ที่มีโครงสร้างซับซ้อน
การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาปาสคาลต้องเขียนโปรแกรมแบบมีโครงสร้างและมีระเบียบ แบบแผน เป็นภาษาที่ไม่มีหมายเลขบรรทัดแต่ทำงานตามลำดับโครงสร้างของโปรแกรม ดังนั้นภาษาปาสคาลเหมาะกับการศึกษาภาษาที่ใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์โดย ตรงและวิธีการเขียนโปรแกรมที่ถูกต้องเพื่อนำไปใช้ในการเขียนโปรแกรมภาษาชั้น สูงอื่น ๆ และ ภาษาเครื่อง รวมทั้งซอฟต์แวร์กึ่งสำเร็จรูป ต่อไปได้
สัญลักษณ์เบื้องต้น (Basic Symbol)
สัญลักษณ์ที่ใช้ในภาษาปาสคาลแบ่งออกได้เป็น 3 พวก ได้แก่
1. letter ได้แก่ A-Z , a-z และ มีขีดล่าง (_ อ่านว่า Underscore)
2. digit ได้แก่ 0-9  3 . Special symbol สัญลักษณ์พิเศษได้แก่ + - * / = ^ () [] {}. , : ; ' # $
หมายเหตุ  ไม่มีความแตกต่างระหว่างอักษรพิมพ์ใหญ่และอักษรพิมพ์เล็ก
คำอธิบาย
โดยหลักการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาปาสคาลแล้วจะต้องเขียนโปรแกรมให้ถูกต้องตามรูปแบบของคำสั่งภาษาซึ่งจะมีความหมายในตัวเองแล้ว แต่บางครั้งถ้าต้องการคำอธิบายเพิ่มเติมเพื่อสร้างความเข้าใจสามารถเขียนคำอธิบายเพิ่มเติมไว้ได้ในเครื่องหมาย { } ซึ่งสิ่งที่อยู่ในเครื่องหมาย { } ภาษาปาสคาลจะไม่ทำการคอมไพ
การเขียนคำอธิบายอาจจะเขียนอยู่ในโปรแกรม คือ ตั่งแต่คำว่า PROGRAM จนถึงคำว่า END. หรือจะอยู่นอกโปรแกรมก็ได้ เช่น 
ตัวอย่าง 1.3.1 การเขียนคำอธิบายในโปรแกรม
Program Show Name;                
Uses Crt;               
Ch : Char;              
Begin
{โปรแกรมแนะนำตนเอง}                
Clrscr;
Writeln(‘อรทัย ชัยรัตนศักดิ์’);
                Writeln(‘โปรแกรมวิทยาการคอมพิวเตอร์ ’);
                Writeln(‘สถาบันราชภัฎพิบูลสงคราม’);
                 Ch := read key;
                 End.
ตัวอย่าง 1.3.2 การเขียนคำอธิบายนอกโปรแกรม
                {โปรแกรมแนะนำตนเอง}
                Program Show Name;
                Uses Crt;
                Ch : Char;
                Begin
                Closure;
                Written(‘อรทัย ชัยรัตนศักดิ์’);
                Written(‘โปรแกรมวิทยาการคอมพิวเตอร์ ’);
                Written(‘สถาบันราชภัฎพิบูลสงคราม’);
                Ch := read key;
                End.
ชื่อ (Identifier)
ชื่อ ได้แก่ ชื่อที่ใช้ในโปรแกรม เช่น ใช้เป็นชื่อโปรแกรม ชื่อตัวแปร ชื่อตัวคงที่ ชื่อ procedure ชื่อ Function ชื่อประกอบขึ้นจาก letter หรือ digit แต่จะต้องไม่ขึ้นต้นด้วย digit และจะต้องไม่มีช่องว่างในส่วนประกอบเหล่านี้ ชื่อต้องมีความยาวอย่างน้อย 1 อักขระ แต่ไม่เกิน 127 อักขระ หรือไม่เกิน 1 ไลน์ (Line)
ตัวอย่าง
              1. ต่อไปนี้เป็น identifier
                      power ,Supper ,x_bar ,X2
              2. ต่อไปนี้ไม่เป็น identifier
                       4time        ไม่เป็นเพราะขึ้นต้นด้วยตัวเลข
                       No.            ไม่เป็นเพราะมีเครื่องหมาย .
                        name#5     ไม่เป็นเพราะมีเครื่องหมาย #
                        xy 8           ไม่เป็นเพราะมีช่องว่าง
คำในภาษาปาสคาล (Word)
Word ได้แก่คำที่ใช้ในปาสคาลแบ่งออกได้เป็น
1. คำสงวน (Reserved Word) ได้แก่คำที่ใช้ในการกำหนดรูปแบบต่าง ๆ ในProgram ตามข้อกำหนดของภาษาปาสคาล ซึ่งคำสงวนนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ และไม่สามารถนำมาตั้งเป็นชื่อได้
2. คำมาตรฐาน (Standard Word) ได้แก่คำที่เป็น Procedure หรือ Functionมาตรฐาน เป็นคำที่เปรียบเสมือนคำสั่งในโปรแกรม แต่ตัวมันเองเป็นโปรแกรม สามารถนำคำมาตรฐานมาเป็นชื่อได้แต่ไม่ควรทำเพราะจะทำให้เสียความหมายเดิมไป จึงต้องระวังอย่ากำหนดชื่อให้ซ้ำกับคำมาตรฐาน คำมาตรฐานได้แก่คำที่กำหนดใหม่ (User defined Word) โดยผู้ใช้ ซึ่งอาจจะเขียนเป็น Procedure หรือ Function และต้องไม่เป็นคำที่ปรากฏในข้อ 1, 2
ค่าคงที่ (Constants)
ค่าคงที่ (Constants) คือ ค่าที่กำหนดขึ้นมาใช้ในโปรแกรม โดยค่าคงที่นี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่านั้นอีกตลอดการรันโปรแกรมนั้น ๆ เช่น                 
                ‘G’                   เป็นค่าคงที่แบบอักขระ                 
                ‘Computer’       เป็นค่าคงที่แบบสตริง                 
                2546                 เป็นค่าคงที่แบบตัวเลข 
หมายเหตุ                 
          1. ค่าคงที่แบบอักขระและแบบสตริงต้องอยู่ในเครื่องหมายคำพูดเดี่ยวเท่านั้น ( ‘) และภายในเครื่องหมายคำพูดหากมีการเว้นช่องว่างจะถือว่าเป็นอักขระตัวหนึ่ง คือเป็นช่องว่างเมื่อออกจอภาพ
          2. 2456 เป็นค่าคงที่แบบตัวเลข อ่านว่า สองพันสี่ร้อยห้าสิบหก สามารถนำไปทำการคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้ แต่ถ้าเขียนไว้ในเครื่องหมายคำพูด ’2456’ จะเป็นค่าคงที่แบบสตริง อ่านว่า สองสี่ห้าหก ไม่สามารถนำมาทำการคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้
แบบของข้อมูล (Data Type)
แบบของข้อมูล (Data Type) คือ การกำหนดคุณสมบัติให้กับตัวแปรข้อมูลชนิดนั้น ๆ ซึ่งแต่ละภาษาจะมีแบบของข้อมูลที่กำหนดมาให้เป็นมาตรฐานแล้ว เช่น Integer Real Boolean Char หรือผู้ใช้สามารถกำหนดแบบของข้อมูลชนิดใหม่ขึ้นมาใช้ได้ด้วยตัวเอง เช่น String Array 
ตัวแปร (Variables)
ตัวแปร (Variables) คือ การตั้งชื่อหน่วยความจำที่ใช้ในการอ้างถึงหน่วยความจำที่เก็บข้อมูลในภาษาเครื่องโดยอ้างถึงแอดเดรส สามารถอ่านค่าและเปลี่ยนแปลงค่าได้ตลอดเวลา
สำหรับขนาดของหน่วยความจำของแต่ละข้อมูลหรือแต่ละตัวแปรนั้น จะมีขนาดไม่เท่ากัน ขึ้นกับแบบของข้อมูลของตัวแปรนั้น ๆ และตัวแปรแต่ละตัวถ้ากำหนดมาสำหรับแบบข้อมูลแบบไหนจะเก็บข้อมูลแบบนั้นได้ เท่านั้นไม่สามารถเก็บข้อมูลแบบอื่น ๆ ได้ การกำหนดตัวแปร เช่น  
Var I : Integer;  
        R : Real;                       
        Ch : Char;                       
        St : String(10);                 
เป็นการกำหนดตัวแปร I เก็บข้อมูลแบบ Integer คือจำนวนเต็ม R เป็นตัวแปรเก็บข้อมูลแบบจำนวนจริง Ch เป็นตัวแปรเก็บข้อมูลแบบอักขระ และ St เป็นตัวแปรเก็บข้อมูลแบบสตริงยาวไม่เกิน 10 อักขระ
การให้ค่าคงที่ตัวแปร (Aassignment Variables )
เมื่อกำหนดตัวแปรแล้ว การดำเนินการทำสำคัญกับตัวแปร คือ การให้ค่ากับตัวแปร ซึ่งทำได้ 2 วิธีการ คือ
1. การอ่านจากอุปกรณ์ภายนอก เช่น การรับข้อมูลจากคีย์บอร์ด การอ่านค่าจากไฟล์ข้อมูล
2. การให้ค่าแก่ตัวแปรในโปรแกรม  การให้ค่าแก่ตัวแปรในโปรแกรม ด้วยเครื่องหมาย := หมายความว่า เอาค่าที่อยู่ทางด้านซ้ายมือของเครื่องหมาย มาเก็บไว้ที่ตัวแปรที่อยู่ทางด้านขวามือของเครื่องหมาย สิ่งที่อยู่ทางด้านซ้ายมือของเครื่องหมาย ต้องเป็นตัวแปรครั้งละ 1 ตัวเท่านั้น ส่วนสิ่งที่อยู่ทางด้านขวามือของเครื่องหมาย สามารถเป็นได้ คือ
1. ค่าคงที่ เช่น Num: = 3; เป็นการให้ค่า 3 แก่ตัวแปร Num                 
                          Name: = ‘อรทัย’; เป็นการให้ค่าอรทัยแก่ตัวแปร Name
2. ตัวแปร เช่น Sum: = Num; เป็นการให้ค่า Num แก่ตัวแปร Sum ดังนั้น Sum ก็จะมีค่า 3 ตามค่าของ Num
3. นิพจน์ทางคณิตศาสตร์ เช่น Sum: = Num + 5; จะนำค่า Num มาเพิ่มอีก 5 แล้วให้ค่าแก่ตัวแปร Sum ดังนั้น Sum จะมีค่าเป็น 8
 
                                                       Num := Num + 1; จะนำค่า Num มาเพิ่มอีก 1 แล้วเก็บค่าไว้ที่ Num เหมือนเดิม ดังนั้น Num จะมีค่า เป็น 4
 
4. ฟังก์ชั่น เช่น Ch := Chr (125); เป็นการนำค่า 125 มาทำการแปลงด้วยคำสั่ง Chr ซึ่งเป็นการอ่านค่าตามรหัส ASCII ให้แก่ตัวแปร Ch 
คณิตศาสตร์บูลีน (Boolean algebra)
คณิตศาสตร์บูลีน (Boolean Algebra) เป็นการดำเนินกรรมวิธีทางตรรกตัวดำเนินการ (Operators) ที่ใช้มากและมีในภาษาปาสคาลได้ได้ AND, OR และ XOR เรียกว่าตัวดำเนินการบูลีน (Boolean Operators)                AND       ให้ความเป็นจริงเมื่อเงื่อนไขเป็นจริงทั้งหมด นอกนั้นอีก 3 กรณีเป็นเท็จ                OR          ให้ความเป็นจริงเมื่อเงื่อนไขอันใดอันหนึ่งเป็นจริง ให้ความเป็นเท็จเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จทั้งหมด                XOR        ให้ความเป็นจริงเมื่อเงื่อนไขอันใดอันหนึ่งเป็นจริงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ถ้าเหมือนทุกเงื่อนไขจะเป็นเท็จ
operator               operation                             operanal type                     result type                  
AND                      arithmetic and                      Integer                                   Integer                 
AND                      logical and                             Boolean                                 Boolean                 
OR                          arithmetic or                         Integer                                   Integer                 
OR                          logical or                               Boolean                                 Boolean                 
XOR                      arithmetic xor                      Integer                                   Integer                 
XOR                      logical xor                             Boolean                                 Boolean
ตัวอย่าง ตารางตรรกศาสตร์บูลีน
X                             Y                            AND                      OR                         XOR                 
true                         true                        true                         true                        false                  
true                         false                       false                        true                         true                 
false                        true                        false                        true                         true                 
false                        false                       false                        false                        false 
ตัวดำเนินการ (Operators)
ตัวดำเนินการ (Operators) คือ เครื่องหมายที่ใช้ในการดำเนินกรรมวิธี เช่น เครื่องหมาย บวก ลบ คูณ หาร เป็นต้น กรรมวิธีในการดำเนินการในภาษาปาสคาล กระทำเช่นเดียวกับพีชคณิต คือ จะให้ข้อมูลทางซ้ายของตัวดำเนินการเป็นตัวตั้ง และให้ข้อมูลทางขวาของตัวดำเนินการเป็นตัวกระทำ
operator               operation             operanal type                     result type                  
+                              addition                 Real, Real                              Real                 
+                              addition                 Integer, Integer                   Integer                 
+                              addition                 Real, Integer                         Real                 
-                               subtraction           Real, Real                               Real                  
-                               subtraction           Integer, Integer                    Integer                  
-                               subtraction           Integer, Real                         Real                 
 
*                              multiplication       Real, Real                              Real
*                              multiplication       Integer, Integer                   Integer
*              multiplication       Real, Integer                         Real
                  /              division                  Real, Real                              Real
                 /               division                  Integer, Integer                   Real
                 /               division                  Real, Integer                         Real
                 DIV                        division                  Integer                                   Integer
                 MOD                     modules                 Integer                                   Integer
 
หมายเหตุ
                 DIV เป็นการหารแบบปัดเศษทิ้ง
                 MOD เป็นเศษของการหาร
 
ตัวอย่าง
                 123/4 = 30.75
               123 DIV 4 = 30
    &nbs

การพัฒนาโปรแกรม

การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: Computer programming) หรือเรียกให้สั้นลงว่า การเขียนโปรแกรม (อังกฤษ: Programming) หรือ การเขียนโค้ด (Coding) เป็นขั้นตอนการเขียน ทดสอบ และดูแลซอร์สโค้ดของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งซอร์สโค้ดนั้นจะเขียนด้วยภาษาโปรแกรม ขั้นตอนการเขียนโปรแกรมต้องการความรู้ในหลายด้านด้วยกัน เกี่ยวกับโปรแกรมที่ต้องการจะเขียน และอัลกอริทึมที่จะใช้ ซึ่งในวิศวกรรมซอฟต์แวร์นั้น การเขียนโปรแกรมถือเป็นเพียงขั้นหนึ่งในวงจรชีวิตของการพัฒนาซอฟแวร์
การเขียนโปรแกรมจะได้มาซึ่งซอร์สโค้ดของโปรแกรมนั้นๆ โดยปกติแล้วจะอยู่ในรูปแบบของ plain text ซึ่งไม่สามารถนำไปใช้งานได้ จะต้องผ่านการคอมไพล์ตัวซอร์สโค้ดนั้นให้เป็นภาษาเครื่อง (Machine Language) เสียก่อนจึงจะได้เป็นโปรแกรมที่พร้อมใช้งาน
การเขียนโปรแกรมถือว่าเป็นการผสมผสานกันระหว่างศาสตร์ของ ศิลปะ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ วิศวกรรม เข้าด้วยกัน [1]

การพัฒนาระบบสารสนเทศ

การพัฒนาระบบสารสนเทศ
ความจำเป็นในการพัฒนาระบบสารสนเทศ 
1.  การเปลี่ยนแปลงกระบวนการบริหารและการปฏิบัติงาน  ระบบเดิมไม่สามารถให้ข้อมูลหรือทำงานได้ตามต้องการ มีการดำเนินงานหลายขึ้นตอน ยุ่งยากในการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาจัดทำข้อมูลสรุปสำหรับการติดตามการปฏิบัติงานโดยรวมขององค์การ จึงจำเป็นต้องพัฒนาหรือปรับปรุงระบบสารสนเทศที่สามารถช่วยให้ขั้นตอนการปฏิบัติงานภายในและกระบวนการบริหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2.  การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี  เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในระบบสารสนเทศปัจจุบันล้าสมัย ค่าช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบมีราคาสูง จึงต้องรับเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ซึ่งทำให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานที่มีอยู่เดิม
3.  การปรับองค์การและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน 
-  ระบบที่ใช้งานอยู่ปัจจุบันมีขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อน ขนาดเอกสารอ้างอิงหรือเอกสารที่มีอยู่ไม่ได้มารตรฐาน ทำให้การปรับปรุงหรือแก้ไขทำได้ยาก
-  ความต้องการปรับองค์การให้เหมาะสมเพื่อสามารตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
-  ระบบปัจจุบันไม่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้
การพัฒนาระบบประกอบด้วย
            1)  กระบวนการทางธุรกิจ (Business Process) เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และขั้นตอนการดำเนินธุรกิจขององค์การ
            -  การปรับปรุงคุณภาพ
            -  การติดตามความล้มเหลวจากการดำเนินงาน
            -  การปรับค่าตอบแทนของพนักงานโดยใช้การปรับปรุงคุณภาพเป็นดัชนี
            -  การค้นหาและแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลว           
2)  บุคลากร (People) 
3)  วิธีการและเทคนิค (Methodology and Technique) การเลือกใช้วิธีการและเทคนิคที่เหมาะสมกับลักษณะของระบบเป็นสิ่งสำคัญ
4)  เทคโนโลยี (Technology) เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจึงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบในการเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้มีความเหมาะสมกับลักษณะขอบเขตของระบบสารสนเทศแล ะงบประมาณที่กำหนด  
5)  งบประมาณ (Budget)  
6)  ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์การ (Infrastructure)
7)  การบริหารโครงการ (Project Management) 
                    
ทีมงานพัฒนาระบบ
การพัฒนา IT เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีหน้าที่รับผิดชอบกระบวนการพัฒนาระบบหลายกลุ่ม โดยทั่วไปจะมีการทำงานเป็นทีมที่ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และทักษะจากกลุ่มบุคคล
1)  คณะกรรมการ (Steering Committee)
2)  ผู้บริหารโครงการ (Project Manager)
3)  ผู้บริหารหน่วยงานด้านสารสนเทศ (MIS Manager)
4)  นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) ควรมีทักษะในด้านต่างๆ คือ
                        -  ทักษะด้านเทคนิค
                        -  ทักษะด้านการวิเคราะห์ 
                        -  ทักษะดานการบริหารจัดการ 
                        -  ทักษะด้านการติดต่อสื่อสาร
5)  ผู้ชำนาญการทางด้านเทคนิค 
                        -  ผู้บริหารฐานข้อมูล (Database Administrator : DBA)
                        -  โปรแกรมเมอร์ (Programmer)
6)  ผู้ใช้และผู้จัดการทั่วไป (User and Manager) 

ระบบเลขฐานและตรรกศาสตร์

ระบบฐาน

คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ ที่ต้องอาศัยตัวเลขและหลักการทางคณิตศาสตร์ ในการสร้างข้อมูลและการประมวลผล ซึ่งระบบเลขฐานที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ มี 4 ระบบ ได้แก่ ระบบเลขฐานสิบ ระบบเลขฐานสอง ระบบฐานแปด และระบบฐานสิบหก
1.  ระบบเลขฐานสิบ (Decimal Numbering System)
ระบบเลขฐานสิบเป็นระบบที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น การนับจำนวนวัตถุ  สิ่งของ หรือการนับจำนวนคน ระบบเลขฐานสิบใช้สัญลักษณ์  10 ตัว ได้แก่  0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 โดยตัวเลข 0 แทนค่าที่น้อยที่สุด เลข 9 แทนค่ามากที่สุด และจะเพิ่มค่าทีละหนึ่ง 2 3 … จนครบ 10 ตัว
2. ระบบเลขฐานสอง (Binary Numbering SyStem)
ข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลตัวเลข ตัวอักษร เสียง หรือรูปภาพนั้น เมื่อนำเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำการเข้ารหัสหรือแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปเลขฐานสอง และประมวลผลเสร็จแล้วจึงทำการแปลงข้อมูลกลับมาในรูปแบบที่มนุษย์เข้าใจ ระบบเลขฐานสอง ประกอบด้วยสัญลักษณ์เพียง  2 ตัว คือ 0 และ 1
3. ระบบเลขฐานแปด (Octal Numbering System)
ระบบฐานสิบไม่มีสัญลักษณ์สำหรับเลข 10 ระบบเลขฐานสองไม่มีสัญลักษณ์เลข 2 ดังนั้นในระบบเลขฐานแปดจึงไม่มีสัญลักษณ์เลข 8 สรุปได้ว่า สัญลักษณ์ที่ใช้ในระบบเลขฐานแปด มีจำนวนทั้งสิ้น 8 ตัว ได้แก่ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6 และ7
4. ระบบเลขฐานสิบหก (Hexadecimal Numbering System)
ในระบบเลขฐานสิบหกมีสัญลักษณ์ที่ใช้ในระบบเลขฐานสิบหก  จำนวน 16 ตัว ได้แก่ 0, 1,2,3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, A, B, C, E, F


ตรรกศาตร์

สมัยก่อนบางครั้งเรียกคอมพิวเตอร์ว่า "สมองอิเล็กทรอนิกส์""เพราะมีความสามารถในการแก้ปัญหาได้ถูกต้องจนน่าประหลาด
ใจในความเป็นจริงแล้วคอมพิวเตอร์มิได้มีสิ่งใดที่เหมือนสมองมนุษย์ซึ่งแก้ปัญหาชนะคอมพิวเตอร์ได้อย่างง่ายดายเพราะบ่อยครั้งที่
คอมพิวเตอร์มิได้มีสิ่งใดที่เหมือนสมองมนุษย์ซึ่งแก้ปัญหาชนะคอมพิวเตอร์ได้อย่างง่ายดายเพราะบ่อยครั้งที่คอมพิวเตอร์มักจะสับสน
กับปริศนาทางตรรกศาสตร์อยู่เสมอพีชคณิตบูลีน(Boolean algebra)ช่วยให้เราแก้ปัญหาไปทีละขั้นจนได้ข้อสรุปที่ถูกต้องนี่ก็คือสิ่งที่
คอมพิวเตอร์ทำได้เร็วกว่ามนุษย์นับเป็นล้านๆเท่าวิศวกรให้ความสามารถด้านนี้แก่คอมพิวเตอร์โดยใส่กฎทางตรรกศาสตร์เข้าไปในวง
จรอิเล็กทรอนิกส์เรียกว่า "เกต" (gate)ซึ่งสวิตซ์สจะเปิดหรือปิดเมื่อสัญญาณเข้ามีการผสมผสานที่ถูกต้องการแสดงผลเชิงตัวเลขทำ
ได้โดยการเชื่อมโยงเกตเข้าด้วยกันภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนด

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีเอาตัวรอด..เมื่อหลงป่า ??















เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีข่าวเรื่องพระธุดงค์ 2 รูปหลงป่าในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เลยเอาวิธีการป้องกันตัวเวลาหลงป่า และวิธีหนีเอาชีวิตรอดมาฝากกันนะคะ


เมื่อเดินหลงป่า ทะเลขุนเขาถ้าหลงทางล่ะก็....หนาว


การแก้ไขปัญหาหากว่าเราเกิดหลงป่าขึ้นมานั้น พรานหลายๆ ท่านได้แนะนำและก็บอกกับวิธีมาดังนี้ครับ


1.ให้สังเกตทิวไม้
ถ้า หลงป่าให้พยายามเดินขึ้นที่สูงเอาไว้ให้สังเกตว่าชายเขาอยู่ที่ไหนให้ยึดแนว นั้นเป็นหลัก เพราะสุดชายเขามักจะมีลำธารอยู่เสมอ ชาวบ้านป่ามักจะอาศัยอยู่ติดกับต้นน้ำลำธาร เมื่อพบลำธารก็จะพบบ้านคน พร้อมกันนั้นให้สังเกตทิวไม้ชายเขา ดูสีของใบไม้ของป่าบริเวณนั้นเป็นหลัก ช่วงที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ใบไม้จะเขียว แต่ผิดจากใบไม้ในส่วนอื่น ๆ ที่จางกว่า มุ่งไปได้เลย รับรองว่าเจอน้ำในจุดนั้นอย่างแน่นอน แล้วจึงค่อย ๆ เดินตามน้ำที่ไหลลงไป รับรองว่าได้รอดออกจากป่าแน่นอนครับ


2. ให้สังเกตรากไม้
บ่อยครั้งที่ความแห้งแล้งเกิดขึ้น หากเดินไปพบลำธารที่แห้งแล้วก็จะรู้ได้อย่างไรว่ายามมีน้ำจะไหลลงไปทางไหน พรานสอนไว้ว่าให้สังเกตรากไม้ลำธารแห้งว่า รากไม้ลู่ไปทางทิศไหน ก็ให้ไปทางนั้น เพราะยามลำธารมีน้ำ รากไม้จะลู่ไปตามน้ำเสมอไป ให้ท่านเดินไปแล้วจะพบน้ำหรือบ้านคนแน่นอน


การหลีกเลี่ยงจากโรคมาลาเรียและโรคจากไรอ่อน


มีธารน้ำ ปลายลำธาร
ย่อมมีบ้านคน




การ พิจารณาภูมิประเทศในการนอนพักแรมเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะในป่าเขา เพราะจุดพักแรมใดที่มีความชื้น จุดนั้นจะเป็นแหล่งเพาะยุงที่อาจมีเชื้อไข้มาลาเรีย บ่อยครั้งที่พบในป่าชื้นที่มีต้นไม้ขึ้นเป็นดง มีตะไคร่น้ำขึ้นเขียวพร้อมกับฟอสฟอรัสเรืองแสงเต็มไปหมด พรานสอนว่าอย่าไปลงแคมป์พักแรมเป็นอันขาดเลย เพราะที่ชื้นแบบนั้นรับรองมาลาเรียเพียบแต่ส่วนใหญ่พวกเราก็มักจะพักแรมกัน เนื่องจากสะดวกในการทำกิจกรรมทั้งการประกอบอาหารหรือชำระร่างกาย ดังนั้นเราจึงควรป้องกันไม่ให้ยุงและไรอ่อนกัดเราได้ โดยการสมเสื้อที่มิดชิด ทายาป้องกันยุงกันและแมลง และนอนในเต็นท์ หรือเปลที่มีมุ้งป้องกัน และในกรณีที่ออกจากป่าแล้วมีไข้สูงหนาวสั่น ถ้าไม่แน่ใจให้รีบพบแพทย์โดยด่วน เพื่อเจาะเลือดตรวจสอบ


ป้องกันสัตว์ป่าทำร้าย


หลายครั้งที่พวกเราต้องรอนแรมอยู่ในป่า อาจได้ยินเสียงช้างป่าร้องอยู่ใกล้ๆ หากเป็นเราท่านทั่วไป ก็มักจะคิดและนึกว่าสัตว์ป่าย่อมกลัวไฟเสมอ เลยมักจะก่อกองไฟกันไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มันเข้ามาใกล้เรา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนั่นใช่ว่าสัตว์ป่ากลัวไฟ แต่ไฟที่ว่านั้นมันเป็นไฟป่าต่างหากที่พวกมันกลัว ไม่ใช่กองไฟย่อมๆที่พวกเราก่อ เพราะว่าโดยทั่วไปแล้วช้างป่า มันจะวิ่งเข้ามาหากองไฟเพื่อหาความอบอุ่นเสมอ เพราะฉะนั้นดูให้ดีเสียก่อนล่ะว่ามีสัตว์อะไรอยู่แถวนั้น หากเป็นช้างป่าก็อย่าไปจุดกองไฟเชียวเดี๋ยวจะวิ่งกันกระเจิงแล้วหาว่าไม่ เตือนน่ะครับ แต่หากว่าเป็นสัตว์ป่าทั่วไป คงจะจุดไว้ได้เพื่อเป็นการป้องกัน


ข้อ แนะนำผู้หลงทางหรือ ผู้ที่แตกจากกลุ่มใหญ่


1.ควบ คุมสติให้ได้ อย่ากลัว
2.ตรวจเช็คสิ่งของที่ติดตัว ว่ามีอะไรใช้ประโยชน์ได้บ้าง และวางแผนใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด
3.เมื่อ รู้ตัวว่าหลงทางให้หยุดอยู่กับที่ อย่าพยายามเดินต่อไป ให้เลือกหยุดคอยบริเวณที่ผู้ตามหามองเห็นตัวเราได้ง่าย เช่นกลางด่าน เนินเขา ทุ่งโล่ง
4.ทิ้งรอย หรือเครื่องหมายแสดงทิศทางที่จะไป หากจำเป็นต้องเดินต่อ เช่นไปหาแหล่งน้ำหรือที่พักฯลฯ
5.ส่งสัญาณขอความ ช่วยเหลือ เป็นระยะ ๆ (นกหวีดไง ผมพกติดตัวเวลาเข้าป่าทุกที เป็นอุปกรณ์ฉุกเฉินที่บ้านเรามองข้ามครับ)
6.มองหาที่พัก เสบียง และจัดหาหาฟืนไว้ก่อนมืด


ส่วนมากบ้านเราไม่ค่อยหลงกัน ไกลเท่าไรนัก ความจริงมีอีกหลายข้อ เอาแค่นี้แล้วกันครับ


สำหรับผู้ตามหา


1.เริ่มจากจุดสุด ท้ายที่พบเห็นผู้หลงทาง
2.สังเกตรอยหรือเครื่องหมายของผู้หลงทางที่อาจ ทิ้งไว้
3.จดจำหรือขอข้อมูลบางประการของผู้หลงทางจากเพื่อนๆเช่นยี่ห้อ รองเท้า แบบของพื้นรองเท้า ของใช้ส่วนตัว น้ำหนักผู้หลงทาง สิ่งขิงที่เขานำติดไปด้วย ฯลฯ ทางที่ดีเอาญาติ ๆ หรือเพื่อน ๆ เขาไปตามหาด้วย ถ้าไม่ลำบากนัก จะช่วยในการตามรอยได้รวดเร็วและเม่นยำขึ้น
4.ถ้า มีหลายคนให้แยกกันค้นหาจนพบรอยของผู้หลงทาง
5.เตรียมอุปกรณ์ปฐมพยาบาล และเสบียงเพื่อผู้หลงทางไปด้วย
6.อย่าหยุดตามหา แม้ในเวลากลางคืน ผู้หลงทางอาจกำลังรอความช่วยเหลือเร่งด่วน

วิธีทำทำที่ห้อยโทรสัพ

วิธีทำที่คั่นหนังสือ

มีงานสีมือใหม่มาให้ลองทำกันอีกแล้วค่ะ วันนี้นั่งทำทั้งวัน จนกระดาษเกือบเละคามือ ยังทำได้ไม่ค่อยสวยเลย คงต้องฝึกทำไปเรื่อยๆ ค่ะ งานชิ้นนี้ส่วนผมทำยากค่ะ กว่าจะจัดให้เป็นทรงได้

เมื่อวานก็เพิ่งไปซื้อหนังสือสอนพับกระดาษและทำเป็นการ์ดมาค่ะ ไว้ว่าจะลองทำอีกเหมือนกัน และก็ดีที่ญี่ปุ่นหาซื้ออุปกรณ์บางอย่างได้ง่าย และไม่ต้องตัดกระดาษเองให้ยุ่งยากสักเท่าไร เพราะจะมีแบบที่ตัดสำเร็จรูปให้เรียบร้อย ทำให้สะดวกและกระดาษได้ขนาด

อุปกรณ์ในการทำที่คั่นหนังสือ

-กระดาษแข็ง ขนาด 14x5 ซม.
-กระดาษลาย สำหรับชุดคิโมโน 7.5x3 ซม.
-กระดาษลาย สำหรับทำแขนชุดคิโมโน ขนาด 4.5x3.8ซม. และตัดเป็นมนๆ (ตามรูป)
-กระดาษแข็งกลม (ส่วนหัว) ขนาดเล็กกว่าเหรียญ 25 สตางค์นิดหน่อย
-กระดาษแข็ง ตัดเป็นก้านเล็กๆ ยาวประมาณ 2 ซม.
-กระดาษสีสำหรับทำชิ้นใน 2 x 1 ซม.
-กระดาษสี สำหรับทำโอบิ 2 x1.5ซม.
-กระดาษย่นสีดำ สำหรับทำผม 6x2.3 ซม. และชิ้นเล็ก 1x1.5 - 2 ซม. สำหรับปิดผมด้านหน้า
-กาว (เทกาวใส่ถาดพลาสติกและใช้ไม้จิ้มฟันทากระดาษจะสะดวกกว่าค่ะ)
-เส้นด้ายสี (ถ้าทำผมจุก ต้องใช้ด้ายมัดจุก)
-ริบบิ้น สำหรับทำสายคล้องกระดาษ
-กระดาษสา (ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ ใช้สำหรับตกแต่ง)

Image hosted by Photobucket.com


วิธีทำ

ทากาวที่ก้านกระดาษแข็ง แล้วนำมาติดกับส่วนหัว
และนำกระดาษสี ที่ใช้สำหรับทำชิ้นใน พับครึ่ง แล้วพับทบกันไปมา (เวลาติดกระดาษแต่ละชิ้นให้ทากาวด้วย)

นำกระดาษลายสำหรับทำคิโมโน พับลงมาหนึ่งทบ แล้วพับปกด้านซ้ายลงมา (ตามภาพที่ 2 และ 3 ค่ะ)

Image hosted by Photobucket.com Image hosted by Photobucket.com Image hosted by Photobucket.com


พับเก็บมุม แล้วพับปกด้านซ้าย พับเก็บมุมให้เป็นชุด และนำกระดาษสีพื้นสำหรับทำโอบิ ทากาวและพันส่วนลำตัว (ตามภาพที่ 4 , 5 และ 6) ((ในรูปพันสูงไปเกินไปอ่ะค่ะ))

Image hosted by Photobucket.com Image hosted by Photobucket.com Image hosted by Photobucket.com



นำกระดาษย่นสีดำ มาทาบเพื่อทำผม ให้ตัดเป็นริ้วทั้งสองด้าน และจัดเป็นจุกตามภาพที่ 7 และ 8

Image hosted by Photobucket.com Image hosted by Photobucket.com Image hosted by Photobucket.com



จะเหลือด้านหน้าเป็นช่องว่างให้นำ กระดาษย่นสีดำแผ่นเล็กทากาวปิด และจัดมัดเป็นจุกพันด้วยเส้นด้าย
(ตามภาพที่ 9 และ 10 )

Image hosted by Photobucket.com Image hosted by Photobucket.com


และการทำผมอีกแบบ กระดาษย่นส่วนผมให้ทากาว ให้ติดกับส่วนหน้า แล้วนำกระดาษย่นแผ่นเล็กมาปิดด้านหน้า และจัดเก็บกระดาษไปข้างหลัง (ตามภาพที่ 13 และ 14)

Image hosted by Photobucket.com Image hosted by Photobucket.com



เมื่อพับตุ๊กตากระดาษเสร็จ ก็นำกระดาษลาย ที่ตัดมนแล้ว ทากาวติดกับกระดาษแข็ง แล้วทำตุ๊กตากระดาษคิโมโนทากาวทับติดลงไป และส่วนผมด้านหน้าให้ทากาวติดกับชุดคิโมโนด้วยค่ะ

Image hosted by Photobucket.com Image hosted by Photobucket.com



เสร็จแล้วก็จะได้ที่คั่นหนังสือแบบในรูปนี้ค่ะ...ผูกริบบิ้น และถ้าจะให้ดีควรใส่ซองแก้ว หรือเคลือบพลาสติกอีกทีค่ะ

Image hosted by Photobucket.com

Image hosted by Photobucket.com


งานชุดนี้ยังทำได้ไม่ดีเลยค่ะ จัดแต่งผมซะกระดาษเกือบเละเลย คงต้องทำใหม่อีก และคราวหน้าจะหากระดาษมาพับเป็นแบบอื่นๆ อีกค่ะ
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2548 0:16:00 น.


ปล. กระดาษย่นเนื้ออ่อนมากเลย ต้องจับเบาๆ ค่ะ แต่แจนเป็นคนมือหนักซะ เลยดูผมกระเซิงนิดๆ อย่างในรูปที่ 10 รอบๆ ผมกระดาษจะแตกเป็นฝอยต้องใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มกาวแล้วทาเก็บรอบๆ ผมค่ะ
และถ้าจะทำแบบง่ายๆ ไม่ต้องพับตุ๊กตากระดาษคิโมโน จะใช้ตุ๊กตาแบบที่แจนเคยพับที่ทำเป็นโปสการ์ด มาประดับตกแต่งแทนก็ได้ค่ะ วิธีทำตุ๊กตากระดาษตัวเล็กแบบง่ายๆ

ลป. วันนี้ดูเหมือนอากาศดีค่ะ ฟ้าแจ่มแดดออก นัดกับเพื่อนไว้ว่าจะไปเดินเปิดท้ายแถวมินาโตะมิรายค่ะ ต้องไปสำรวจตลาดซะหน่อย เพราะเดือนหน้าจะเอาของไปขายค่ะ แล้วค่ำๆ จะแว่บไปทักทายเพื่อนๆ นะคะ

วิธีทำให้ผมยาว


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ผมยาวสวย ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้สาว ๆ ดูมีบุคลิกดีและมีเสน่ห์ หากสาวคนไหนมีผมที่ยาวสวย ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งเลย เพราะหนุ่ม ๆ หลายคนแอบเผยว่าชอบผู้หญิงผมยาว แหม... สาว ๆ ได้ยินแบบนี้แล้ว ก็คงจะรีบหา วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ได้ทันใจกันเลยทีเดียว

          โดยปกติแล้ว ผมคนเราจะยาวประมาณครึ่งนิ้วต่อเดือน แต่หลายคนก็อยากให้มันไม่ปกติ ให้ผมยาวเร็ว จึงพยายามสรรหา วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ทั้งวิธีล้ำสมัย และวิธีแบบวิถีธรรมชาติ เช่น การต่อผม หมักทรีตเม้นท์ อบไอน้ำ ทำสปา ฯลฯ แล้วแต่ความเชื่อ และความชอบของแต่ละบุคคล วันนี้เราจึงมี วิธีทําให้ผมยาวเร็ว และสุขภาพดีมาแนะนำอย่างหลากหลาย ให้สาว ๆ ลองเลือกดูค่ะ ว่าชอบแบบไหนกัน  

          1. วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ด้วยการออกกำลังกาย นั่นก็คือการออกกำลังกายให้เส้นผม โดยการหมั่นนวดศีรษะขณะสระผม หรือออกกำลังกายโดยการก้มศีรษะลงค้างไว้  30 วินาที ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา ทำเช่นนี้ทุกวันจะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ใช้แปรงผมที่มีขนอ่อนนุ่ม แปรงผมอย่างเบา ๆ โดยเลือกใช้หวีซี่ใหญ่ และห่างในการหวีผม และไม่หวีผมในขณะที่ผมยังเปียกอยู่ แต่หวีในช่วงที่ผมแห้งแทน การหวีผมอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้เส้นผม แข็งแรง และยาวเร็วขึ้นด้วย

          2. วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะ ไบโอติน หรือวิตามิน H ซึ่งมีมากใน ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมัน ปลา ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิร์ต จำพวกผักก็เป็น ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี เห็ด แครอท เป็นต้น

          3. วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ด้วยการเล็มผม บางครั้งการตัดผมที่เสียออกไปบ้าง หรือการเล็มผมบ่อย ๆ ก็จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้นได้ดี นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นการกำจัดผมแตกปลาย ไปในตัวด้วยค่ะ

          4. วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ด้วยการต่อผม ถือเป็นวิธีที่ง่ายและเร่งรัดที่สุด เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการผมยาวเร็วทันใจ รับรองว่า ได้ยาวสมใจแน่ ๆ การต่อผมสามารถทำได้ที่ร้านทำผมที่มีบริการต่อผมดู หรือเลือกใช้บริการร้านต่อผมที่มีอยู่ทั่วไป แต่ขอให้เลือกร้านที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ในการต่อผมมาก ๆ เพราะการต่อผม ต้องใช้สารเคมีมากมายในการทำ ซึ่งหากช่างทำผมไม่รู้จริง ก็อาจทำผมสวย ๆ ของเราเสียได้นะคะ วิธีนี้เอาเป็นว่าแนะนำเป็นทางออกสุดท้ายแล้วกันนะคะ

          เอาล่ะค่ะ จะผมยาว ผมสั้น ก็ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า เราจะมีความมั่นใจและพร้อมที่จะเสริมสร้างบุคลิกให้ดีมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าใครอยากผมยาวเร็วจริง ๆ ก็ลองนำ วิธีทําให้ผมยาวเร็ว ที่แนะนำ ไปปฏิบัติกันดูได้ ทีนี้สาว ๆ เลือกวิธีได้ตามใจชอบเลยว่าจะเร่งผมยาวด้วยวิธีไหน และสิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้นั่นก็คือ การที่จะมีผมที่สวยสุขภาพดี จะต้องมีดีมาจากสุขภาพข้างในด้วยนะจ๊ะ

          อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ไม่ได้จำกัดไว้เฉพาะสาว ๆ เท่านั้นนะคะ คุณผู้ชายที่อยากให้ผมยาวเร็ว ก็สามารถนำไปใช้ได้ค่ะ


วิธีทำให้สูง




สำหรับคนอายุ 17 - 20 ปี (อายุไม่ถึงก็น่าจะทำได้อะนะ แต่กระโดดเชือก 600 ครั้งมันไม่ไหวนะ - -)
1. กระโดดเชือก 600 ครั้ง หรือ ออกกำลังที่มีการยืดใช้เวลาประมาณ 30 นาที (เช้า - เย็น)
ถ้าหากเบื่อวิธีที่กล่าวมา ก็เต้นแอโรบิค หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับการเต้น
ออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวก็ใช้ได้เหมือนกัน ใช้เวลาติดต่อกัน 30 - 60 นาที
(ว่ายน้ำ วิ่งช้า ๆ ขี่จักรยาน บาสเกตบอล เทนนิส เดินเร็ว และอื่นที่มีการกระโดด) ก็ได้ทำให้สูงได้เหมือนกัน

2. ดื่มนมวันละ 2 แก้ว หลังอาหาร (เช้า - หลังอาหาร) เพราะนมวัวไม่เพียงอุดมไปด้วยแคลเซียมและสารอาหารต่างๆ เท่านั้น
แต่ยังมีสารอาหารบางอย่างที่ทำให้สูงขึ้นหรือทำให้ร่างกายใหญ่ขึ้นนั้นเอง
เป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างมากสำหรับคนที่ต้องการสูงขึ้น

3. นอนเวลาประมาณ 3 ทุ่มขึ้นไป แต่ห้ามนอนหลังเที่ยงคืนและนอนให้เพียงพอ
*(เพราะฮอร์โมนความสูงจะหลั่งตั้งแต่ เที่ยงคืน ถึง ตี 5)

4. กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ (เช้า กลางวัน เย็น) สารอาหารให้ครบ 5 หมู่
5. งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอลฮอล์ และ น้ำอัดลม งดสูบบุรี่ เท่าที่จะเป็นไปได้
เพราะมีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ที่จะทำให้มีโอกาสสูงได้น้อยลงได้เหมือนกัน

ถ้าคุณทำตาม 5 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ภายใน 1 เดือน (30 วัน) รับรองได้คุณจะสูงเพิ่มอีกเฉลี่ยเดือนละ 1.30 เซนติเมตร
(แต่ต้องทำทุกวัน)
^_^ถ้าไม่เชื่อก็ลองวัดส่วนสูงดูก็ได้นะครับ^_^

วิธีการทำให้ผิวขาว


วิธีทําให้ผิวขาว

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
         
          ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

          
อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับ วิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู  27 วิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย... 
          1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า เป็น วิธีทําให้ผิวขาว โดยธรรมชาติ รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบนสุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็น วิธีทําให้ผิวขาว อีกทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง

          2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิ ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

          3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย

          4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว

          5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

          6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง ซึ่งเป็น วิธีทําให้ผิวขาว ใสขึ้น สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย

          7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

          8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ

          9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง

          10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว และ วิธีทําให้ผิวขาว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

          11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด

          12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

          13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ

          14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

          15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

          16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วยการใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

          17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก

          18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถนำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น

          19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่นเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี

          20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้

          21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง

          22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่า ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ

          23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

          24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ที่สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด

          25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้

          26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น

          27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา  

          ลองทำตาม วิธีทําให้ผิวขาว แบบธรรมชาติๆ ตามที่แนะนำกันไปดูนะคะ รับรองว่าผิวคุณจะกระจ่างใส แบบปลอดภัยและเห็นผลค่ะ